เลือกหัวข้อที่อ่าน
- เลือดกำเดาไหล คืออะไร
- สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล
- ประเภทของเลือดกำเดาไหล
- วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- เลือดกำเดาไหลแบบไหนที่ควรพบแพทย์
- การตรวจวินิจฉัยภาวะเลือดกำเดาไหล
- การรักษาเลือดกำเดาไหล
- การป้องกันเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหล คืออะไร?
เลือดกำเดาไหล (Epistaxis/Nosebleeds) คือ ภาวะที่มีเลือดไหลออกทางโพรงจมูกข้างเดียวหรือทั้งสองข้างเนื่องจากหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงจมูกฉีกขาด โดยอาจมีสาเหตุจากการแคะจมูกแรง ๆ การได้รับแรงกระแทกแรง ๆ ภาวะเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง หรือการที่อุณหภูมิในร่างกายขึ้นสูง โดยเลือดกำเดาไหลอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคร้าย หรือโรคซับซ้อนอื่น ๆ เช่น เนื้องอกในจมูกหรือโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณโพรงจมูก หรือเลือดแข็งตัวช้าผิดปกติ (Clotting disorders, Hemophilia) นอกจากนี้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (Anticoagulant medications) ที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจยังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหลได้
เลือดกำเดาไหลมีสาเหตุเกิดจากอะไร?
เลือดกำเดาไหล มีสาเหตุเกิดจากหลอดเลือดขนาดเล็กหรือเส้นเลือดฝอยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากภายในบริเวณโพรงจมูกแตก ฉีกขาด จนทำให้มีเลือดไหลออกทางโพรงจมูก โดยอาจไหลออกมาเพียงข้างเดียวหรือทั่งสองข้าง เลือดกำเดาไหลส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงและสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน เลือดกำเดาไหลสามารถแบ่งสาเหตุการเกิดได้จากสาเหตุทั่วไป และสาเหตุจากโรคหรือความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ดังนี้
เลือดกำเดาที่เกิดจากสาเหตุทั่วไป
- อากาศแห้งอันเกิดจากสภาพอากาศร้อน ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ หรือ อากาศในสิ่งแวดล้อม อาคารสถานที่หรือที่อยู่อาศัยร้อนจัด ทำให้เส้นเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง จับตัวเป็นเกร็ด และแตกออกเมื่อถูกสัมผัสแรง ๆ
- การแกะหรือแคะจมูกแรง ๆ (Nose-picking)
- การจามแรง ๆ หรือการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
- การได้รับอุบัติเหตุหรือการได้รับแรงกระแทกแรง ๆ บริเวณจมูก ศีรษะ หรือใบหน้า
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Intranasal steroids) เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ ยาหดหลอดเลือด (Decongestant) ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) จนทำให้โพรงจมูกแห้งและเป็นเหตุให้เลือดกำเดาไหล
- การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant medications) ในผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาเฮปาริน (Heparin)
- การใช้เครื่อง CPAP (Continuous positive airway pressure) ในการรักษาผู้ป่วยนอนกรน หรือโรคหยุดหายใจขณะหลับ
- หลังการผ่าตัดจมูก ผ่าตัดผนังกั้นโพรงจมูก การผ่าตัดไซนัส หรือ หลังการทำศัลยกรรมจมูก
- ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute sinusitis)
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (Upper respiratory infections) ที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา
- การใช้แอมโมเนีย (Ammonia) ซี่งเป็นสารระเหยที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณระบบทางเดินหายใจ
- การสอดสายให้ออกซิเจนผ่านทางจมูก (Nasal cannula) การใส่สายให้อาหารทางจมูก (Nasogastric tube)
- การใช้ยาแอสไพรินเกินขนาด (Aspirin overdose)
- การนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในโพรงจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก
เลือดกำเดาไหลที่มีสาเหตุเกิดจากโรคหรือความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย เช่น
- การมีผนังกั้นโพรงจมูกคด (Septal deviation)
- ผนังกั้นโพรงจมูกทะลุเป็นรู (Septal perforation)
- เกิดกระบวนการอักเสบในจมูก
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Clotting disorders) เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ (Bleeding disorders)
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิคุ้มกัน (Immune thrombocytopenia: ITP)
- โรคเลือดออกทางพันธุกรรม หรือ ภาวะเส้นเลือดฝอยขยายตัว (Telangiectasia)
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
- ก้อนในจมูก หรือ โรคริดสีดวงจมูก (Nasal polyps)
- โรคมะเร็งในโพรงจมูก (Nasal cancer)
- โรคมะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma: NPC)
- เนื้องอกในจมูก (Nasal tumors)
เลือดกำเดาไหลมีกี่ประเภท
เลือดกำเดาไหลสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามตำแหน่งที่เกิดเลือดกำเดาไหล ได้แก่
- เลือดกำเดาไหลทางจมูกด้านหน้า (Anterior nosebleed) คือ เลือดกำเดาที่ไหลออกจากบริเวณส่วนหน้าของผนังกั้นโพรงจมูกทั้งสองด้าน ซึ่งเป็นหลอดเลือดขนาดเล็กหลายแขนงที่มีความเปราะบาง และแตกง่าย เลือดกำเดาไหลประเภทนี้เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดโดยเฉพาะในเด็กและมักไม่ร้ายแรง โดยสามารถทำการปฐมพยาบาลเบี้องต้นที่บ้านได้
- เลือดกำเดาไหลทางด้านหลังโพรงจมูก (Posterior nosebleed) เป็นเลือดกำเดาที่ไหลออกทางด้านหลังโพรงจมูกส่วนที่อยู่ลึกลงไป ใกล้ลำคอซึ่งเกิดจากการฉีกขาดหรือแตกของหลอดเลือดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเลือดกำเดาออกที่มีความรุนแรงมากกว่าออกทางจมูกส่วนหน้า เพราะอาจมีเลือดออกในปริมาณที่มากกว่าและอาจไหลลงคอจนทำให้เกิดการสำลักได้ ดังนั้นหากมีเลือดกำเดาออกมากผิดปกติ ควรรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์เพื่อทำการห้ามเลือดทันที
เลือดกำเดาไหลทำอย่างไร วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นในผู้ที่มีเลือดกำเดาไหล
- นั่งหลังตรงและโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลลงไปในลำคอและปอดซึ่งอาจทำให้เลือดเข้าไปปิดกั้นทางเดินหายใจและเกิดการสำลักได้
- ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ช่วยในการซับเลือด
- ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบที่บริเวณปีกจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นอย่างต่อเนื่องประมาณ 5 นาที เพื่อกดบริเวณด้านหน้าของผนังกั้นช่องจมูกจนกว่าเลือดจะหยุดไหล โดยให้หายใจทางปากแทน
- หากมีเลือดออกให้บ้วนเลือดออกเพื่อป้องกันการกลืนเลือดลงท้องซึ่งอาจทำให้เกิดการอาเจียนได้
- ประคบเย็นด้วยผ้าห่อน้ำแข็งที่บริเวณหน้าผาก และดั้งจมูก
- หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ การแคะจมูก การยกของหนัก การออกแรงมาก ๆ หรือการเล่นกีฬา เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า
- หมั่นสังเกตอาการผู้ป่วยหากมีอาการช็อกหรือหมดสติ
เลือดกำเดาไหลแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์
เลือดกำเดาไหลส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรงและผู้ป่วยสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เอง แต่หากผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหลออกมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการมีเลือดออกภายในหรือโรคร้ายแรงที่มีความซับซ้อน จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดโดยเร็ว โดยให้สังเกตอาการดังต่อไปนี้
- เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ไหลมาก หรือไหลเกินกว่า 5 นาที
- ได้รับอุบัติเหตุหรือได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ ใบหน้า หรือจมูก
- เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นลิ่มเลือด
- สีตัวซีด ปากซีด รู้สึกหน้ามืด เวียนหัว คล้ายจะเป็นลม
- สำลักออกมาเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นเลือด หายใจลำบาก
- ชีพจรเต้นเร็ว
- เลือดกำเดาไหลร่วมกับการคลำได้ก้อนที่คอ หรือสังเกตว่ามีก้อนในโพรงจมูก ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกในโพรงจมูก (Nasal polyps) วัณโรคหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal tuberculosis) หรือ มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharynx cancer) ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์
การวินิจฉัยเลือดกำเดาไหล มีวิธีการอย่างไร
การวินิจฉัยเลือดกำเดาไหลที่โรงพยาบาลโดยแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก แพทย์จะทำประเมินการสูญเสียเลือดและห้ามเลือดภายในโพรงจมูกทันทีเพื่อป้องกันการเกิดภาวะช็อกอันอาจเกิดจากการสูญเสียเลือด ในผู้ที่เลือดกำเดาไหลบางราย เลือดกำเดาไหลอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายหรือโรคซับซ้อน เช่น โรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งมักตรวจพบขณะเข้ารับการรักษาเลือดกำเดาไหลที่โรงพยาบาล ดังนั้นการได้รับการรักษาและตรวจวินิจฉัยเลือดกำเดาไหลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หู คอ จมูกจะช่วยให้สามารถรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือดกำเดาไหลได้อย่างทันท่วงที
การรักษาเลือดกำเดาไหลโดยแพทย์ที่โรงพยาบาล
หากเลือดกำเดาไหลไม่หยุด ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วเพื่อป้องกันภาวะช็อก หมดสติจากการสูญเสียเลือด เมื่อถึงที่โรงพยาบาล แพทย์จัดท่านั่งที่เหมาะสมกับผู้ป่วย จากนั้นจะทำการประเมินอาการและวิธีการรักษาจากระดับความรุนแรงของอาการและตำแหน่งของเลือดที่ไหลออกและเริ่มทำการห้ามเลือด (Hemostasis) โดยแพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้
- ยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่ (Topical decongestants) สอดเข้าไปในโพรงจมูก โดยยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่ จะออกฤทธิ์โดยการทำให้เส้นเลือดในเยื่อบุจมูกหดตัวลง เลือดออกลดลง ลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก ทำให้แพทย์มองเห็นสภาพภายในโพรงจมูก และสามารถประเมินและค้นหาตำแหน่งที่เลือดออกได้
- การจี้จุดเลือดออก (Cauterization) เป็นการรักษาโดยวิธีการใช้สารเคมี (Chemical cauterization) เช่น ซิลเวอร์ไนเตรต (Silver nitrate) หรือพลังงานความร้อน (Electrocautery) เพื่อห้ามเลือดโดยการปิดผนึกหลอดเลือดที่มีเลือดออก โดยแพทย์จะทำการให้ยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) ในโพรงจมูกก่อนการรักษา
- การใช้วัสดุกดห้ามเลือดในโพรงจมูกด้านหน้า (Anterior nasal packing) โดยแพทย์จะใช้วัสดุห้ามเลือดคล้ายฟองน้ำชนิดพิเศษ (Special nasal sponges) ใส่เข้าในจมูกเพื่อกดบริเวณที่มีเลือดออก โดยวัสดุห้ามเลือดจะถูกทิ้งไว้ประมาณ 48-72 ชั่วโมง จากนั้นแพทย์จึงนำออก ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาใช้วัสดุละลายได้เอง โดยไม่ต้องนัดมาเอาออกในภายหลัง
- การผูกเส้นเลือดเพื่อห้ามเลือด (Internal artery ligation) ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจพิจารณาทำการผูกเส้นเลือดแดงหรืออุดหลอดเลือดแดงเพื่อห้ามเลือดโดยใช้สารอุดหลอดเลือดร่วมกับการส่องกล้อง (Nasal endoscopy) ช่วยในการผูกเส้นเลือดหรือหลอดเลือดเพื่อห้ามเลือด การใช้เทคโนโลยีส่องกล้องร่วมในการรักษานับเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งที่เลือดออกได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านหลังโพรงจมูก ทำให้ห้ามเลือดได้เร็ว
- การปรับยา/และสั่งยาใหม่ (Medication adjustment/new prescriptions) ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด แพทย์อาจพิจารณาปรับยาหรือสั่งยาใหม่เพื่อช่วยควบคุมภาวะการแข็งตัวของเกล็ดเลือด รวมทั้งความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัว
- การผ่าตัดเพื่อห้ามเลือดในกรณีจมูกหักหรือการผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องโพรงจมูก (Surgical repair of broken nose or correction of a deviated nasal septum) ในผู้ป่วยที่จมูกหักหรือผู้ที่มีผนังกั้นช่องโพรงจมูกคด (Deviated nasal septum) ที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อห้ามเลือดและแก้ไขจมูกหัก หรือผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นโพรงจมูก โดยแพทย์จะใช้วิธีให้ดมยาสลบก่อนการผ่าตัด
- กำจัดสิ่งแปลกปลอมอันเป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหลออก (Foreign body removal) เลือดกำเดาไหลในเด็กหลายรายเกิดจากการที่เด็กนำของเล่นหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกจนทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล โดยแพทย์จะทำการตรวจภายในบริเวณจมูก หากมีสิ่งแปลกปลอมจะเอาออกเพื่อทำการห้ามเลือด
การป้องกันเลือดกำเดาไหล
- ไม่แคะ แกะจมูกแรง ๆ หรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ
- สวมหมวกกันน็อคและเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่ยานพาหนะ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือการได้รับการบาดเจ็บที่บริเวณจมูก ศีรษะ หรือใบหน้า
- ไม่สูบบุหรี่ สูดดมควันบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสูดดมสารเคมี ฝุ่นละออง มลภาวะ 5
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง อากาศร้อน หรืออากาศเย็นจนเกินไป
- ทาวาสลีนเคลือบผิวในจมูก หรือใช้น้ำเกลือหยอดจมูกเพื่อป้องกันไม่ให้เยื่อบุโพรงจมูกแห้ง
- รับประทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเพื่อบำรุงให้เส้นเลือดฝอยในจมูกแข็งแรง
- ดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
การรักษาเลือดกำเดาไหลโดยแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูกที่โรงพยาบาล
เลือดกำเดาไหลสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกวัย ในหลาย ๆ กรณีที่เลือดกำเดาออกโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งควรได้รับการตรวจอย่างเป็นระบบ แม้ว่าเลือดกำเดาไหลส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรงและสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เองที่บ้าน แต่ผู้ที่มีเลือดกำเดาออกมากไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล เพราะหากเลือดออกไม่หยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง ผู้ที่ร่างกายขาดน้ำ หรือผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด การเสียเลือดมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การห้ามเลือดได้อย่างทันท่วงทีและการวินิจฉัยเลือดกำเดาไหลที่มีสาเหตุมาจากโรคร้ายได้อย่างตรงจุดจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและยับยั้งไม่ให้โรคร้ายพัฒนาลุกลามต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- คำถาม: เลือดกำเดาไหล เกิดจากอะไร?
คำตอบ: เลือดกำเดาไหล เกิดจากหลอดเลือดขนาดเล็กหรือเส้นเลือดฝอยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากภายในบริเวณโพรงจมูกแตก ฉีกขาด จนทำให้มีเลือดไหลออกทางโพรงจมูก ส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงและสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่บ้าน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากอากาศที่แพ้งเพราะสภาพอากาศร้อน ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ทำให้เส้นเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง จับตัวเป็นเกร็ด และแตกออกเมื่อถูกสัมผัสแรง ๆ การจามแรง ๆ หรือการสั่งน้ำมูกแรง ๆ การได้รับอุบัติเหตุหรือการได้รับแรงกระแทกแรง ๆ บริเวณจมูก ศีรษะ หรือใบหน้า - คำถาม: เลือดกำเดาไหลแบบไหนที่อันตราย และควรพบแพทย์?
คำตอบ: เลือดกำเดาไหลออกมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการมีเลือดออกภายในหรือโรคร้ายแรงที่มีความซับซ้อน เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ไหลมาก หรือไหลเกินกว่า 5 นาที ได้รับอุบัติเหตุหรือได้รับแรงกระแทกบริเวณศีรษะ ใบหน้า หรือจมูก เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นลิ่มเลือด สีตัวซีด ปากซีด รู้สึกหน้ามืด สำลักหรืออาเจียนออกมาเป็นเลือด ชีพจรเต้นเร็ว เป็นต้น - คำถาม: ป้องกันไม่ให้เลือดกำเดาไหลอย่างไร?
คำตอบ: การป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการเกิดเลือดกำเดาไหล เช่น ไม่แคะจมูกแรง ๆ หรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ ไม่สูบบุหรี่ สูดดมควันบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสูดดมสารเคมี ฝุ่นละออง มลภาวะ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง อากาศร้อน หรืออากาศเย็นจนเกินไป ทาวาสลีนเคลือบผิวในจมูกหรือใช้น้ำเกลือหยอดจมูก รับประทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเพื่อบำรุงให้เส้นเลือดฝอยในจมูก เป็นต้น - คำถาม: การรักษาภาวะเลือดกำเดาไหล ควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านใด?
คำตอบ: ภาวะเลือดกำเดาไหล ควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก เพราะการวินิฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรง จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและยับยั้งไม่ให้โรคร้ายพัฒนาลุกลามต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ