เลือกหัวข้อที่จะอ่าน
- อาการเจ็บคอ หรือ คออักเสบ
- คออักเสบ อาการเป็นอย่างไร
- เจ็บคอ หรือ คออักเสบ ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
- คออักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร
- การรักษาอาการเจ็บคอ คออักเสบ
- การป้องกันโรคคออักเสบ
อาการเจ็บคอ หรือ คออักเสบ
อาการเจ็บคอ หรือ คออักเสบ คือการเจ็บ คัน หรือระคายเคืองภายในลำคอ และมักมีอาการมากขึ้นขณะกลืน สาเหตุของการเจ็บคอที่พบได้บ่อยที่สุดคือการติดเชื้อไวรัส (Viral pharyngitis) จากไข้หวัดซึ่งสามารถหายเองได้ คออักเสบจากเชื้อสเตรป (Streptococcal pharyngitis) เป็นอาการเจ็บคอที่เกิดขึ้นจากการรับเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้ไม่บ่อยนักและต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ส่วนการเจ็บคอด้วยสาเหตุอื่นอาจต้องให้แพทย์เป็นผู้ตรวจวินิจฉัย
คออักเสบ อาการเป็นอย่างไร
อาการของคออักเสบนั้นจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยมักมีอาการดังต่อไปนี้
- เจ็บ คัน ในลำคอ
- จุดหนองสีขาวอยู่บนต่อมทอนซิล
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขากรรไกรบวม
- กลืนลำบาก
- ต่อมทอนซิลบวมแดง
- เสียงแหบ
อาการคออักเสบจากการติดเชื้อไวรัสมักมีอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้ต่ำ
- มีอาการไอ
- อาการน้ำมูกไหล
- อาการจาม
- ปวดตามข้อ
- ปวดศีรษะ
- อาเจียน
เจ็บคอ หรือ คออักเสบ ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
สำหรับวัยเด็ก ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเจ็บคอร่วมกับอาการดังต่อไปนี้
- หายใจลำบาก
- กลืนลำบาก
- น้ำลายไหลมากผิดปกติซึ่งเป็นผลมาจากการกลืนไม่สะดวก
สำหรับวัยผู้ใหญ่ ควรไปพบแพทย์หากมีอาการเจ็บคอร่วมกับอาการดังต่อไปนี้
- เจ็บคอขั้นรุนแรงหรือมีอาการนานกว่าหนึ่งอาทิตย์
- กลืนลำบาก
- หายใจลำบาก
- อ้าปากยาก
- ปวดเมื่อยตามไขข้อกระดูก
- ปวดหู
- ผื่นขึ้นตามผิวหนัง
- มีไข้สูงกว่า 3 องศาเซลเซียส
- เลือดปนในน้ำลาย
- เสียงแหบเกิน 2 อาทิตย์
- คอบวม
คออักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร
โดยส่วนใหญ่ อาการเจ็บคอมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสมากกว่าเชื้อแบคทีเรีย
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มักทำให้มีอาการเจ็บคอ ได้แก่
- โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคไข้หวัดทั่วไป
- โรคโมโนนิวคลิโอซิส
- โรคหัด
- โรคอีสุกอีใส
- โรคโควิด-19
การติดเชื้อแบคทีเรียอาจทำให้เจ็บคอได้เช่นกัน โดยเชื้อ Streptococcus pyogenes (กลุ่ม A streptococcus) เป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอที่พบได้บ่อยที่สุด
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้คออักเสบ
- โรคภูมิแพ้: อาการคออักเสบเกิดจากการแพ้ต่อ ขนสัตว์ เชื้อรา ฝุ่น และ ภาวะคัดจมูกอาจทำให้คอระคายเคืองจากการหายใจผ่านช่องคอ
- อากาศแห้ง: การคัดจมูกเรื้อรังส่งผลให้ต้องหายใจทางปากอาจทำให้คอแห้งและเจ็บคอได้
- มลพิษทางอากาศ: สารระคายเคืองจากภายนอก เช่น สารเคมีจากควันบุหรี่ การเคี้ยวยาสูบ การดื่มแอลกอฮอล์ และการรับประทานอาหารรสเผ็ดอาจทำให้ระคายเคืองเยื่อบุในคอได้
- การเกร็งกล้ามเนื้อคอ: การตะโกน พูดเสียงดัง หรือพูดเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอได้
อาการเจ็บคอ หรือ คออักเสบ มีปัจจัยเสี่ยงจากอะไรบ้าง?
- อายุ: เด็กที่มีอายุระหว่าง 3 ถึง 15 ปีมีความเสี่ยงที่จะมีอาการเจ็บคอมากที่สุดเพราะภูมิยังต่ำ
- การสัมผัสกับควันบุหรี่: การสูบบุหรี่และหรือการได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่นทำให้คอระคายเคืองได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งในช่องปาก คอหอย และกล่องเสียง
- โรคภูมิแพ้: การแพ้ฝุ่น เชื้อรา หรือขนสัตว์อย่างต่อเนื่องจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการเจ็บคอ
- การสัมผัสสารเคมีที่ก่อการระคายเคือง: อนุภาคในอากาศจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและสารเคมีในบ้านอาจทำให้คอระคายเคืองได้
- ไซนัสอักเสบที่เกิดซ้ำหรือต่อเนื่อง: การสั่งน้ำมูกอาจทำให้ระคายเคืองคอและส่งต่อโรคติดเชื้อในคอได้
การตรวจวินิจฉัยอาการเจ็บคอ หรือ คออักเสบ
- การใช้อุปกรณ์ส่องไฟตรวจคอ หู และจมูก
- การคลำที่ลำคอเพื่อตรวจหาต่อมน้ำเหลือง (lymph nodes) ที่โตขึ้น
- การใช้เครื่องตรวจฟังเสียงเพื่อฟังการหายใจ
- การใช้ไม้ป้ายคอ (throat swab) เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียสเตรปโทคอกคัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคออักเสบและเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งโดยใช้สำลีเช็ดหลังคอเพื่อนำไปตรวจอย่างละเอียด
การรักษาอาการเจ็บคอ คออักเสบ
นอกจากยาปฏิชีวนะจะไม่ช่วยบรรเทาอาการอาการเจ็บคอที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสแล้ว การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ผื่นคัน ท้องร่วง และอาการแพ้รุนแรง โดยทั่วไป อาการเจ็บคอจากการติดเชื้อไวรัสจะหายไปเองภายใน 4 – 5 วัน วิธีรักษาอาการเจ็บคอที่ได้ผลคือวิธีที่ช่วยลดอาการเจ็บได้ ตัวอย่างได้แก่
- ยาแก้ปวด ยาแก้ปวดที่วางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไปช่วยลดอาการเจ็บคอได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ยาที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้แก่ อะเซตามีโนเฟน (พาราเซตามอล) และยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อย่าง ไอบูโพรเฟน และ นาพรอกเซน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ยาสเตียรอยด์แบบรับประทานจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ แต่แนะนำให้รับประทานเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ - กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีรักษาอาการเจ็บคอมายาวนาน แม้จะไม่มีการศึกษาแน่ชัดว่าน้ำเกลือช่วยลดอาการเจ็บคอได้ก็ตาม โดยแนะนำให้ผสมน้ำเกลือในปริมาณ ¼ ถึง ½ ช้อนชา (1.5 ถึง 3 กรัม) ต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 มล.)
- สเปรย์พ่นคอ สเปร์ยพ่นคอที่มีส่วนผสมของยาชาเฉพาะที่อย่าง เบนโซเคน และ ฟีนอล ช่วยรักษาอาการเจ็บคอได้ แต่ประสิทธิภาพของสเปรย์พ่นคอไม่แตกต่างจากการอมลูกอมทั่วไป
- ยาอมแก้เจ็บคอ ยาอมแก้เจ็บคอหลายชนิดมียาชาเฉพาะที่ผสมอยู่ด้วย จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและคอแห้งได้ นอกจากนี้ ยาอมแก้เจ็บคอยังออกฤทธิ์นานกว่าสเปรย์พ่นคอและการกลั้วคอ ดังนั้น จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการเจ็บคอมากกว่า
- อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องดื่มอุ่นๆ อย่างชาน้ำผึ้ง ชามะนาว ซุปไก่ รวมถึงเครื่องดื่มและของหวานเย็นๆ อย่าง ไอศกรีม ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
- วิธีอื่นๆ ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการเจ็บคอวางจำหน่ายในร้านขายอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ทั้งทางหน้าร้านและทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อาจมีสารกำจัดศัตรูพืชหรือวัชพืชตกค้าง มีฉลากและข้อมูลเกี่ยวกับขนาดการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง ทั้งยังขาดงานวิจัยรองรับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ จึงไม่เป็นที่แนะนำ
การรักษาคออักเสบจากเชื้อสเตรป
แม้อาการคออักเสบจากเชื้อสเตรปอาจหายได้เองภายใน 2 – 5 วัน แต่เนื่องจากสาเหตุของอาการคือการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อเสตรปจากการตรวจด้วยการเพาะเชื้อและ Rapid Test ยาที่นิยมใช้รักษาอาการคออักเสบจากเชื้อสเตรป ได้แก่ เพนิซิลลิน และยาปฏิชีวนะกลุ่มใกล้เคียง โดยมีทั้งแบบเม็ดและน้ำ แนะนำให้รับประทาน 2 – 4 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลา 10 วัน นอกจากชนิดรับประทานแล้ว ยังมีเพนิซิลลินแบบฉีดครั้งเดียวที่ช่วยบรรเทาอาการคออักเสบได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลินอาจเลือกรับประทานยาปฏิชีวนะชนิดอื่นแทน ที่สำคัญคือ ควรรับประทานยาให้ครบตามขนาดเพื่อฆ่าเชื้อให้หมด
หากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยาปฏิชีวนะได้ 3 วัน แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม
ระยะเวลาในการรักษา
ผู้ที่มีอาการคออักเสบจากเชื้อสเตรปกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้หลังจากรับประทานยาปฏิชีวนะครบ 24 ชั่วโมง โดยใน 24 ชั่วโมงแรก ยาจะช่วยบรรเทาอาการและลดความสามารถในการแพร่เชื้อแบคทีเรียลง
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อโควิด 19 แนะนำให้พักที่บ้านและเว้นระยะห่างจากผู้อื่น ซึ่งรวมถึงคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันในบ้าน โดยระยะเวลาในการกักตัวจะขึ้นกับอาการและปัจจัยต่างๆ ดังนั้น ควรสอบถามแพทย์หรือสถานพยาบาลว่าควรหยุดกักตัวเมื่อใด
ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ แต่ไม่ได้มีอาการคออักเสบจากเชื้อสเตรปหรือติดเชื้อโควิด 19 สามารถกลับมาทำกิจกรรมตามปกติได้เมื่ออาการดีขึ้น แต่ควรหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอและปิดปากเมื่อไอหรือจามเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
การป้องกันโรคคออักเสบ
วิธีป้องกันคออักเสบหรือการเจ็บคอที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุและควรปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี ดังต่อไปนี้
- ล้างมืออย่างสม่ำเสมอนานอย่างน้อย 20 วินาทีโดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก
- หลีกเลี่ยงรับประทานอาหาร หรือใช้แก้วน้ำหรือเครื่องใช้ต่าง ๆ ร่วมกัน
- ควรไอหรือจามใส่กระดาษทิชชู่ แล้วล้างมือให้สะอาด
- ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์สาธารณะหรือดื่มน้ำก๊อกสาธารณะ
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโทรศัพท์ ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ รีโมท และแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือบุคคลที่ติดเชื้อ
การดูแลตนเองที่บ้านเมื่อเจ็บคอ หรือ คออักเสบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและพักการใช้เสียง
- ดื่มน้ำเพื่อลดภาวะขาดน้ำและทำให้ลำคอชุ่มชื้น งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารและเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น ชาที่ปราศจากคาเฟอีน น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง และน้ำซุป
- เพิ่มความชื้นในอากาศ โดยใช้เครื่องทำความชื้น แต่ควรหมั่นทำความสะอาดตัวเครื่องบ่อย ๆ เพื่อป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองจากควันบุหรี่และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- พักอยู่บ้านจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ปรึกษาแพทย์หากบุตรหลานของท่านมีอาการเจ็บคอ เช่น กลืนลำบาก หรืออาการอื่นๆ และอาจจำเป็นต้องทำการตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก (ENT) หรือด้านภูมิแพ้