เลือกหัวข้อที่อ่าน
- โรคหัวใจ คืออะไร
- โรคหัวใจมีอาการอย่างไร
- สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
- ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ
- การป้องกันโรคหัวใจ
- การวินิจฉัยโรคหัวใจ
- การรักษาโรคหัวใจ
- คลิปวิดีโอโรคหัวใจ
โรคหัวใจ
หัวใจ อวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและภายในแบ่งออกเป็น 4 ห้อง มี 2 ห้องบน และ 2 ห้องล่าง อยู่บริเวณส่วนกลางใต้กระดูกหน้าอกค่อนข้างไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิต นำพาออกซิเจนและสารอาหารไปยังทุกส่วนของร่างกาย หัวใจซีกขวารับโลหิตที่ใช้แล้วจากร่างกาย แล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจน โลหิตที่มีออกซิเจนสูงก็จะไหลกลับไปยังหัวใจด้านซ้าย และก็จะถูกสูบฉีดโลหิตผ่านเส้นเลือดใหญ่ไปยังทุกส่วนของร่างกาย
หัวใจเริ่มเต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กล้ามเนื้อหัวใจมีลักษณะพิเศษกว่ากล้ามเนื้ออื่น ๆ คือ สามารถปล่อยสัญญาณไฟฟ้าได้เอง ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นจากหัวใจห้องขวาบน (Sinus Node) กระจายออกไปตามเซลล์นำไฟฟ้าในหัวใจ เริ่มจากห้องบนขวาไปห้องบนซ้ายและลงหัวใจห้องล่าง เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระแสไฟฟ้านี้ก็จะเกิดการหดสั้นลง ทำให้เกิดการบีบตัวของห้องหัวใจ
สภาวะต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อหัวใจ
- โรคหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ
- ปัญหาจังหวะการเต้นของหัวใจ (ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ)
- ภาวะบกพร่องของหัวใจแต่กำเนิด
- โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
- โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
- การติดเชื้อที่หัวใจ
- โรคของผนังหุ้มหัวใจ
โรคหัวใจมีอาการอย่างไร
อาการของโรคหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ
-
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- เจ็บแน่นหน้าอก มักมีอาการแน่น อึดอัด เหมือนมีสิ่งกดทับกลางอก อาจมีอาการปวดร้าวไปกราม ไหล่ หรือแขนซ้าย มักเป็นมากขึ้นเมื่อออกกำลังและหากมีอาการรุนแรงอาจมีอาการเมื่ออยู่เฉย ๆ
- เหนื่อยง่ายหายใจถี่
- นอนราบไม่ได้
- บวม
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- หน้ามืดหมดสติ
-
อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Heart Arrhythmias)
หัวใจของคุณอาจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือไม่สม่ำเสมอ อาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจรวมถึง- หัวใจเต้นสะดุด หรือเต้นเร็ว ๆ รัวๆ (Heart Palpitations)
- เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกไม่สบาย (Chest pain or discomfort)
- หายใจถี่ (Shortness of breath) หอบง่าย (Dyspnea on exertion)
- มึนศีรษะ (Lightheadedness)
- วิงเวียนศีรษะ (Dizziness)
- เป็นลมหมดสติ (Syncope)
-
อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากหัวใจพิการแต่กำเนิด (Heart Defects)
ความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิด มักจะสังเกตเห็นได้หลังคลอดไม่นาน โดยมักมีสัญญาณและอาการผิดปกติของหัวใจในเด็กอาจรวมถึง- สีผิวซีดเทา เขียว
- อาการบวมที่ขา หน้าท้อง หรือบริเวณรอบดวงตา
- ในทารกมักมีอาการหายใจถี่ระหว่างการให้น้ำนม ทำให้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น
- นิ้วปุ้ม (Clubbing of fingers)
ความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรงน้อยกว่ามักไม่ได้รับการวินิจฉัยจนกว่าจะถึงในวัยเด็กหรือในวัยผู้ใหญ่ สัญญาณและอาการของความบกพร่องของหัวใจพิการแต่กำเนิดมักไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตในทันที ได้แก่
-
- หายใจไม่ออกระหว่างออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
- เหนื่อยง่ายระหว่างออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม
- อาการบวมที่มือ ข้อ หรือเท้า
- ปากและเล็บเขียวคล้ำ
-
อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiomyopathy)
ในระยะแรกของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ อาจไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น สามารถสังเกตได้จาก- หายใจไม่ออกขณะทำกิจกรรมหรือพักผ่อน
- อาการบวมที่ขา ข้อ และเท้า
- อาการเหนื่อยล้า เหนื่อยง่าย หายใจถี่
- นอนราบไม่ได้
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- เวียนศีรษะ มึนงง และเป็นลม
-
อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากการติดเชื้อ (Heart Infection)
เยื่อบุหัวใจอักเสบ คือการติดเชื้อที่มีผลต่อเยื่อบุด้านในของห้องหัวใจและลิ้นหัวใจ (Endocardium) สัญญาณและอาการของการติดเชื้อที่หัวใจอาจรวมถึง- มีไข้หายใจถี่
- อ่อนแอ เหนื่อยล้า
- มีอาการบวมที่ขาหรือหน้าท้อง
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- อาการไอแห้ง
- มีผื่นขึ้นหรือมีจุดที่ผิวหนัง เล็บ ขึ้นผิดปกติ
-
อาการของโรคหัวใจที่เกิดจากลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว (Valvular Heart Disease)
ลิ้นหัวใจทำหน้าที่เปิดและปิดเพื่อให้เลือดไหลผ่านหัวใจในทิศทางเดียว ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำลายลิ้นหัวใจได้ โดยอาการแสดงของโรคลิ้นหัวใจตีบและรั่วอาจรวมถึง- อาการเหนื่อยล้า
- หายใจถี่ เหนื่อยง่าย
- การเต้นของหัวใจผิดปกติ
- เท้าหรือข้อเท้าบวม เจ็บหน้าอก
- เป็นลมหมดสติ
โรคหัวใจ ควรพบแพทย์เมื่อใด
ควรไปพบแพทย์หากคุณมีอาการเหล่านี้
- เจ็บหน้าอก
- หายใจถี่ เหนื่อยง่าย
- เป็นลม
โรคหัวใจจะรักษาได้ผลดีหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับอาการของคุณ หากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเป็นโรคหัวใจ นี่คือสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
สาเหตุของโรคหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจนั้น ๆ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจจากภาวะการเสื่อมของหลอดเลือด มีสาเหตุไม่ชัดเจนแต่พบว่าสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยปัจจัยเสี่ยงแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
- ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และสามารถปรับเปลี่ยนได้
- ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เช่น อายุ เพศ หรือประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว แต่สามารถชะลอโรคด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่บริหารเองได้เพื่อป้องกันโรคหัวใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
- อายุ - การมีอายุมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดแดงที่เสียหาย ตีบและกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
- เพศ - ผู้ชายทั่วไปมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่า แต่สำหรับผู้หญิงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังหมดประจำเดือน
- ปัจจัยทางพันธุกรรม - ครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพ่อแม่เป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย (ก่อนอายุ 55 ปีสำหรับผู้ชาย และ 65 สำหรับผู้หญิง)
- สูบบุหรี่ - สารนิโคตินทำให้หลอดเลือดของคุณมีสภาวะหดตัว และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สามารถทำลายเยื่อบุชั้นในได้ จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ง่ายขึ้น โดยอาการหัวใจวายพบได้บ่อยในผู้สูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- การกินอาหารแบบผิด ๆ - อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เกลือ น้ำตาล และคอเลสเตอรอลสูง สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจได้
- ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวและหนาขึ้นทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
- ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง - ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงโดยเฉพาะชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL-cholesterol) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคเบาหวาน - โรคเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
- โรคอ้วน - น้ำหนักส่วนเกินมักทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น
- การขาดการออกกำลังกาย - มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ความเครียด - ปัจจัยเสี่ยงทางด้านจิตใจ อาจส่งผลไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่กระตุ้นหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการของโรคหัวใจมากขึ้น
- สุขภาพฟันที่ไม่ดี - พบรายงานแพทย์ถึงโรคฟันและเหงือกอักเสบสัมพันธ์กับการเกิดอาการของโรคหัวใจมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ
-
ภาวะหัวใจล้มเหลว
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดของโรคหัวใจ เกิดขึ้นเมื่อหัวใจของคุณไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ภาวะหัวใจล้มเหลวอาจเป็นผลมาจากโรคหัวใจหลายประเภท รวมถึงความบกพร่องของหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง โรคลิ้นหัวใจ การติดเชื้อที่หัวใจ - หัวใจวาย หากเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันกระทันหัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ไฟฟ้าหัวใจผิดปกติจนเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรงจนหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest)
-
โรคหลอดเลือดสมอง
คือ ปัจจัยเสี่ยงสามารถนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองของคุณแคบลงหรือถูกปิดกั้นทำให้เลือดเข้าสู่สมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้สมองขาดเลือด -
หลอดเลือดแดงโป่งพอง
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายโดยหากหลอดเลือดโป่งพองแตก จะทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในอย่างมากและรวดเร็ว เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ -
โรคหลอดเลือดส่วนปลาย
หากเป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลาย สิ่งนี้ทำให้เกิดอาการปวดแขนหรือขาเมื่อออกแรง เหตุเพราะเลือดไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอ (Claudication) และหากอุดตัน จะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อส่วนปลาย เช่น เท้า ได้ -
ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
คือ การสูญเสียการทำงานของหัวใจ การหายใจและหมดสติอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด ซึ่งมักเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรง ภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหันเป็นภาวะฉุกเฉิน หากไม่ได้รับการรักษาทันทีจะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจตายอย่างกะทันหัน
การป้องกันโรคหัวใจ
ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจแม้ไม่มีสาเหตุเฉพาะเจาะจงชัดเจน แต่ก็มีปัจจัยสิ่งหลายอย่างที่หากเราควบคุมได้ดีจะช่วยลดโอกาสโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้มาก เช่น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินมาตรฐาน ควบคุมคอเลสเตอรอล และเบาหวาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- รับประทานอาหารที่มีเกลือและไขมันอิ่มตัวต่ำ
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
- ลดความเครียด
- ฝึกสุขอนามัยที่ดี
การวินิจฉัยโรคหัวใจ
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและสอบถามประวัติของคนไข้และครอบครัว นอกจากการสอบถามประวัติโดยละเอียด การตรวจร่างกายการตรวจเลือด และเอกซเรย์ทรวงอกแล้ว การทดสอบพิเศษทางหัวใจต่างๆจะช่วยในการวินิจฉัย เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจทดสอบที่รวดเร็วและไม่เจ็บปวด - เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง หรือ Ambulatory ECG Monitoring หรือ Holter ECG
เป็นอุปกรณ์ ECG แบบพกพาที่สามารถใส่เพื่อบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องโดยปกติจะใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง การตรวจสอบ โดยใช้เพื่อตรวจจับปัญหาจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่พบในระหว่างการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ - การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Echocardiogram
เป็นการทดสอบแบบใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ เพื่อสร้างภาพและตรวจวัดโครงสร้างหัวใจโดยละเอียด ขนาดของหัวใจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจลิ้นหัวใจผนังกั้นและผนังหุ้มหัวใจ - Stress Test
เป็นการทดสอบการเพิ่มอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจด้วยการออกกำลังกาย หรือยา และวัดการตอบสนองทั้งชีพจรความดันโลหิตความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจและบางรายวัดความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจโดยการตรวจ Echocardiogram (Stress Echocardiogram) ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางครั้งประเมินหลอดเลือดและสมรรถภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่ผนังหัวใจ - การสวนหัวใจ
เป็นการใส่ท่อสั้น ๆ เข้าไปในหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงบริเวณขาหรือแขน เพื่อตรวจวัดภายในห้องหัวใจโดยตรงหรือการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ หรือผนังกั้นหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด - การสแกนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ หรือ CT SCAN
เป็นการทดสอบแบบใช้เอ็กซเรย์เพื่อสร้างภาพโครงสร้างโดยละเอียด เพื่อวัดคะแนนหินปูนของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Score) และหากฉีดสารทึบรังสีด้วย จะได้ภาพของหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดแดงใหญ่ หลอดเลือดปอด เพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ ผนังหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจ
ชนิดการรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ โดยทั่วไปมักประกอบด้วย:
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ด้วยการรับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เกลือโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง คอเลสเตอรอลสูง รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 3 แทน เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้หลากหลายชนิด ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - ยา
หากการปรับเปลี่ยงวิถีชีวิตเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อควบคุมโรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ
การรักษาอื่น ๆ นอกจากการรับประทานยา
- การรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัด
- การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด
- การขยายลิ้นหัวใจที่ตีบด้วยบอลลูน
- การใส่ลิ้นหัวใจเทียมแทนลิ้นหัวใจที่ตีบจากการเสื่อมสภาพ โดยการสอดใส่ผ่านทางหลอดเลือด
- การปิดกั้นผนังกั้นหัวใจที่รั่วด้วยอุปกรณ์พิเศษผ่านทางหลอดเลือด
- การจี้หัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงโดยการใส่สายผ่านทางหลอดเลือด
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร
- การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ
- การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจโดยใช้หลอดเลือดของผู้ป่วยเอง (Coronary artery bypass graft surgery)
- การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม
- การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด
ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สามารถกลับมาแข็งแรงใช้ชีวิตประจำวันได้ และหากเป็นไปได้ให้สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น เพื่อช่วยในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงลดอาการโรคหัวใจได้ดีขึ้น โดยในช่วงแรกอาจอยู่ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของแพทย์และนักกายภาพบำบัด และค่อย ๆ ปรับเพิ่มโปรแกรมที่สามารถทำได้เองมากขึ้นจนสามารถปฏิบัติเองได้ที่บ้านทั้งหมด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- คำถาม: สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ คืออะไร
คำตอบ: สาเหตุของโรคหัวใจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจนั้น ๆ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจจากภาวะการเสื่อมของหลอดเลือด มีสาเหตุไม่ชัดเจนแต่พบว่าสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยปัจจัยเสี่ยงแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และสามารถปรับเปลี่ยนได้ และปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เช่น อายุ เพศ หรือประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว แต่สามารถชะลอโรคด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่บริหารเองได้เพื่อป้องกันโรคหัวใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ - คำถาม: ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ มีอะไรบ้าง
คำตอบ: ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เช่น อายุมากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดแดงที่เสียหาย เพศชายมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่า เพศหญิงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังหมดประจำเดือน ครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้ที่สูบบุหรี่อาการหัวใจวายพบได้บ่อยในผู้สูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ การกินอาหารแบบผิด ๆ ความดันโลหิตสูง ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง การขาดการออกกำลังกาย ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น - คำถาม: จะรักษาโรคหัวใจอย่างไร
คำตอบ: ชนิดการรักษาจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ โดยทั่วไปมักประกอบด้วย: การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ด้วยการรับประทานอาหารสุขภาพ ทานผักและผลไม้หลากหลายชนิด ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากการปรับเปลี่ยงวิถีชีวิตเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อควบคุมโรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ การรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัด การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด เป็นต้น