เลือกหัวข้อที่อ่าน
- อาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบ
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- การตรวจวินิจฉัยภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- วิธีรักษาช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย
- ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
- การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis) เกิดจากการที่แบคทีเรียก่อโรคบางชนิดในช่องคลอดเจริญเติบโตมากเกินไป จนทำให้เกิดความไม่สมดุลในช่องคลอด เกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้สีและกลิ่นของตกขาวเปลี่ยนไป โดยอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง
อาการช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ราว 84% ของหญิงที่ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นมักไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- สีและกลิ่นของตกขาวเปลี่ยนไป ตกขาวสีขาวขุ่น ออกเทาหรือเขียว มักมีกลิ่นคาว
- มีอาการคันและระคายเคืองที่ช่องคลอด
- ปัสสาวะแสบขัด
อาการเหล่านี้จะคล้ายกับอาการของตกขาวจากเชื้อรา จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม
ควรพบแพทย์เมื่อไร?
ควรพบแพทย์หากตกขาวมีสีและกลิ่นเปลี่ยนไป เนื่องจากอาการของช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียคล้ายคลึงกับอาการของตกขาวจากเชื้อราหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม
สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบ
ความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด
ในช่องคลอดของคนเรามีแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ มากมาย การสวนล้างช่องคลอดหรือมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันจะทำให้แบคทีเรียในช่องคลอดไม่สมดุล หากจำนวนแบคทีเรีย anaerobe ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ไม่ดีมีมากกว่าแบคทีเรียที่ดีอย่าง lactobacilli ก็อาจทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- มีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคนหรือมีคู่นอนคนใหม่
- มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
- สวนล้างช่องคลอด
- กำลังตั้งครรภ์
- ใช้ห่วงคุมกำเนิด
- กำลังรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่
- ร่างกายมีจำนวนแบคทีเรีย lactobacilli น้อยหรือไม่มีเลย แต่กรณีนี้มักพบได้น้อยมาก
การตรวจวินิจฉัยภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- การซักประวัติและตรวจภายใน
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนั้นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะทำการซักประวัติว่าผู้ป่วยเคยเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์หรือติดเชื้อในช่องคลอดหรือไม่ แพทย์จะตรวจดูตกขาวเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ - การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
แพทย์จะเก็บตัวอย่างของตกขาวเพื่อนำส่งห้องปฏิบัติการ โดยที่ห้องปฏิบัติการจะทำการทดสอบด้วยวิธีสไลด์เปียก (wet mount) สูดกลิ่น (whiff test) หรือตรวจหาความเป็นกรดด่างของช่องคลอด (vaginal pH)
วิธีรักษาช่องคลอดอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย
- ยา Metronidazole ทั้งแบบยาเม็ดรับประทาน เจลทาเฉพาะที่ หรือยาสอด ผลข้างเคียงคืออาการปวดท้อง คลื่นไส้ และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา
- ยา Clindamycin มีทั้งแบบครีมและยาสอด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างที่ใช้ยาและหลังใช้ยาครบตามกำหนด 3 วัน
- ยา Tinidazole อยู่ในรูปแบบยารับประทาน อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา
- ยา Secnidazole สามารถผสมและรับประทานพร้อมอาหาร เช่น โยเกิร์ตหรือพุดดิ้ง โดยควรรับประทานให้หมดภายใน 30 นาที โดยห้ามเคี้ยวตัวยาขณะรับประทาน
ผู้ป่วยควรรับประทานหรือใช้ยาจนครบตามแพทย์สั่ง หากใช้ยาไม่ครบอาจทำให้กลับมาเป็นได้อีกภายใน 3-12 เดือน เมื่อกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์อาจให้ใช้ยา Metronidazole นานขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคเริม หรือเอชไอวี
- ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการผ่าตัดมดลูกหรือการขูดมดลูกสูงขึ้น
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลให้มีบุตรยาก
- การคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักตัวทารกแรกคลอดน้อย
การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้นที่มีน้ำหอม ซึ่งรวมไปถึงผ้าอนามัยแบบแผ่นและแบบสอดแบบมีกลิ่นหอม ซึ่งอาจทำให้ช่องคลอดอักเสบได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอดเพราะอาจไปรบกวนสมดุลของแบคทีเรีย
- ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย (dental dam) เวลามีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลาย ๆ คน
การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์
- ควรนัดแพทย์ในวันที่ไม่มีประจำเดือน
- ไม่ควรสวนล้างหรือมีเพศสัมพันธ์ 24 ชั่วโมงก่อนพบแพทย์
- จดบันทึกอาการ ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังรับประทาน รวมถึงคำถามที่ต้องการถามแพทย์
ยกตัวอย่าง เช่น
- จะป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้อย่างไร?
- สัญญาณเตือนของภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียมีอะไรบ้าง?
- จำเป็นต้องรับประทานยาหรือไม่ ?
- คู่นอนควรมารับการตรวจหรือเข้ารับการรักษาด้วยหรือไม่?
- ควรทำอย่างไรหากกลับมาเป็นซ้ำ?
นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถเตรียมคำถามที่แพทย์อาจถามได้ล่วงหน้า
- มีอาการอะไรบ้าง?
- เริ่มมีอาการเมื่อไร?
- ตกขาวมีกลิ่นคาวหรือไม่?
- เคยติดเชื้อที่ช่องคลอดมาก่อนหรือไม่?
- กำลังรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่หรือไม่?
- ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจุดซ่อนเร้นหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมบ้างหรือไม่?
คำถามที่ถามบ่อย
- ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต่างจากตกขาวจากเชื้อราอย่างไร?
- กลิ่น: ตกขาวจากภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจะมีกลิ่นคาว ในขณะที่ตกขาวจากเชื้อราจะไม่มีกลิ่นคาว
- อาการระคายเคืองในช่องคลอด: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ในขณะที่ตกขาวจากเชื้อราจะก่อให้เกิดการระคายเคืองในช่องคลอด
- การรักษา: ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียต้องได้รับการตรวจวินิฉัยและใช้ยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง แต่ผู้ที่มีอาการตกขาวจากเชื้อราสามารถใช้ยาจากร้านขายยาบรรเทาอาการได้
- ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
ไม่ใช่ แต่ว่าการมีเพศสัมพันธ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย