เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุเกิดจากอะไร
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอาการอย่างไร
- ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอะไรบ้าง
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีวิธีการรักษาอย่างไร
- เราสามารถป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้หรือไม่
- คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คืออะไร
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์เยื่อบุทางเดินปัสสาวะ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดจะสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมีโอกาสที่มะเร็งอาจกลับมาได้ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมถึงการเข้ารับการตรวจและรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดต่าง ๆ
- Transitional cell carcinoma หรือ urothelial bladder cancer: เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด (90% ของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ) โดยเซลล์มะเร็งจะเริ่มต้นในทรานซิชันนัลเซลล์ในเยื่อบุผนังกระเพาะปัสสาวะ และแพร่กระจายไปยังเซลล์ไขมันรอบกระเพาะปัสสาวะ
- Squamous cell carcinoma: พบได้ราว 5% ของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มักพบในผู้ป่วยที่กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง
- Adenocarcinoma: เป็นมะเร็งต่อมที่พบได้ยาก ราว 1% - 2% เท่านั้น
- Small cell carcinoma: เกิดจากเยื่อบุเซลล์เล็ก ซึ่งพบได้น้อยมาก
- Sarcoma: เกิดจากการที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะกลายเป็นมะเร็ง
นอกจากนี้มะเร็งกระเพาะปัสสาวะยังแบ่งออกตามความรุนแรงของโรค
- Noninvasive: เนื้องอกขนาดเล็กหรือพบเซลล์มะเร็งที่ผิวด้านในของกระเพาะปัสสาวะเท่านั้น
- Non-muscle-invasive: มะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่อยู่ไม่ลึกและยังไม่แพร่กระจายไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ
- Muscle-invasive: มะเร็งลุกลามเข้าไปในเซลล์กล้ามเนื้อของผนังกระเพาะปัสสาวะ และอาจลุกลามไปยังชั้นไขมันและ เนื้อเยื่อนอกกระเพาะปัสสาวะ
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุเกิดจากอะไร
ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่ทำให้เซลล์กระเพาะปัสสาวะกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง แต่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่
- การสูบบุหรี่
- รังสีรักษาและเคมีบำบัด
- การสัมผัสกับสารเคมี เช่น สีย้อมผ้า
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ
- การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอาการอย่างไร
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปัสสาวะแสบขัด
- ปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะออกช้า
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
หากสีปัสสาวะเปลี่ยนไป มีเลือดปน หรือมีอาการที่น่ากังวล ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม ทั้งนี้อาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบและมะเร็งปัสสาวะมีความคล้ายคลึงกัน หากรับประทานยาปฏิชีวนะแล้วอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอะไรบ้าง
- การสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเคมีที่เป็นอันตรายอาจไปตกค้างอยู่ในปัสสาวะ ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะได้รับความเสียหาย เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
- อายุที่มากขึ้น ผู้ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสูง
- เพศชาย มีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิง
- การสัมผัสกับสารเคมี ไตทำหน้าที่กรองและขับสารเคมีในกระแสเลือดออกจากร่างกาย ส่งผลให้ไตสัมผัสกับสารเคมีที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อันได้แก่ สารหนูและสารเคมีในสีย้อมผ้า สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยาง เครื่องหนัง หรือสี
- มีประวัติการรักษามะเร็ง ยารักษามะเร็ง เช่น cyclophosphamide อาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ผู้ที่เคยเข้ารับรังสีรักษาที่บริเวณกระดูกเชิงกราน มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ชนิด squamous cell carcinoma นอกจากนี้กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในเลือด
- คนในครอบครัวหรือผู้ป่วยมีประวัติเป็นมะเร็ง หรือ Lynch syndrome ซึ่งเป็นมะเร็งลําไส้ใหญ่และทวารหนักแบบพันธุกรรมชนิด HNPCC (Hereditary Non- polyposis Colorectal Cancer) มะเร็งชนิดนี้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ มดลูก และรังไข่
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)
- การตรวจเซลล์ (Cytology)
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy)
หากพบว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แพทย์อาจให้เข้ารับการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
- การส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ เพื่อตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะไปตรวจเพิ่มเติม (Transurethral Resection of Bladder Tumor: TURBT) เป็นหัตถการผู้ป่วยนอก
- รังสีวินิจฉัย เช่น CT สแกน MRI หรือ เอกซเรย์หน้าอก หรือกระดูก เพื่อดูว่ามะเร็งแพร่กระจายไปยังปอดหรือกระดูกหรือไม่
การแบ่งระยะของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
การแบ่งระยะของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ช่วยให้แพทย์วางแผนแนวทางการรักษาและคาดการณ์ผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแพทย์อาจแบ่งระยะมะเร็งกระเพาะปัสสาวะตามระบบ TNM ดังนี้
- T หมายถึงขนาดของเนื้องอก (T1-T4)
- T1 เนื้องอกมีขนาดเท่ากับหรือน้อยกว่า 2 ซม.
- T4 เนื้องอกมีขนาดใหญ่ขยายไปจนถึงผนังด้านนอกหรืออวัยวะใกล้เคียง
- N หมายถึงการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง (N0-N3)
- N0 ไม่พบมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
- N3 พบมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองหลายต่อมหรือต่อมที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม.
- M หมายถึงการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างจากกระเพาะปัสสาวะ เช่น ปอดหรือตับ เป็นต้น
- M0 มะเร็งไม่แพร่กระจาย
- M1 มะเร็งแพร่กระจายออกไปนอกอุ้งเชิงกราน
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีวิธีการรักษาอย่างไร
- การผ่าตัดรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- การส่องกล้องผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ (TURBT) สามารถตรวจและตัดเนื้องอกได้ในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดไม่ลุกลาม แพทย์อาจผ่าตัดหรือทำลายเนื้อเยื่อด้วยประกายไฟฟ้า (Fulguration)
- การผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด (Radical Cystectomy) เหมาะสำหรับผู้ที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นหรือมีเนื้องอกมะเร็งหลายก้อน หรือมะเร็งกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนลึก ซึ่งในผู้ป่วยเพศชาย แพทย์จะผ่าตัดนำต่อมลูกหมากและถุงน้ำเชื้อออกไปด้วย ส่วนในผู้ป่วยเพศหญิง แพทย์จะผ่าตัดนำรังไข่ มดลูก และช่องคลอดบางส่วนออกไป ทั้งนี้แพทย์อาจผ่าตัดเปลี่ยนช่องทางขับถ่ายปัสสาวะด้วย
- เคมีบำบัดรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- การให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดดำ อาจให้ก่อนและหลังเข้ารับการผ่าตัด เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง แพทย์อาจใช้ร่วมกับรังสีรักษา
- การให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางกระเพาะปัสสาวะ ยาจะถูกใส่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและระบายออก แพทย์อาจใช้วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับมะเร็งบริเวณเยื่อบุผนังที่ไม่แพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อ
- ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- การให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำ เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามหรือกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
- การให้ยาผ่านทางกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะใช้ Bacillus Calmette-Guerin (BCG) (ซึ่งใช้ในวัคซีนวัณโรค) กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ไปฆ่าเซลล์มะเร็ง
- รังสีรักษารักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- เป็นการใช้พลังงานจากรังสีเอกซเรย์และโปรตอนฆ่าเซลล์มะเร็งได้ตรงจุด แม่นยำ แพทย์มักแนะนำรังสีรักษาและเคมีบำบัดให้กับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการหรือไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้
- ยามุ่งเป้ารักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- ยามุ่งเป้าจะหยุด หรือ ขัดขวางการทำงานของเซลล์มะเร็ง ไม่ให้เติบโตและแพร่กระจาย ยามุ่งเป้าเหมาะสำหรับมะเร็งระยะลุกลาม ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ
- การรักษามะเร็งเพื่อเก็บกระเพาะปัสสาวะ
- สำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะลุกลามไปยังชั้นกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดนำกระเพาะปัสสาวะออก แพทย์อาจแนะนำการรักษาแบบ Tri-modality Therapy ซึ่งรวมเอาการส่องกล้องผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษาเอาไว้ด้วยกัน หากมะเร็งยังหลงเหลืออยู่หรือกลับมาเป็นซ้ำ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด
หลังการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
ผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามดูว่ามะเร็งกระเพาะปัสสาวะกลับมาหรือไม่ ในปีแรก ๆ แพทย์อาจนัดติดตามอาการทุก 3-6 เดือน หากมะเร็งไม่กลับมาภายใน 2-3 ปี แพทย์อาจนัดติดตามอาการปีละครั้ง
เราสามารถป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้หรือไม่
ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น เลิกสูบบุหรี่ ระมัดระวังไม่สัมผัสสารเคมี หรือรีบไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด มีเลือดปนในปัสสาวะ
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- จดบันทึกอาการที่มี ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังรับประทาน
- จดคำถามที่ต้องการถามแพทย์ เช่น
- จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
- มะเร็งอยู่ในระยะใด
- ควรรักษาด้วยวิธีใด มีความเสี่ยงหรือไม่
- เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่แพทย์อาจถาม
- มีอาการอะไรบ้าง เป็นต่อเนื่องหรือเป็น ๆ หาย ๆ
- อาการรุนแรงหรือไม่
- อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง
คำถามที่ถามบ่อย
- สัญญาณเตือนมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่ไม่ควรละเลยมีอะไรบ้าง
หากมีเลือดปนในปัสสาวะ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสม
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
ผู้ป่วยราว 50% ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาในขณะที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยที่มีความกังวลว่ามะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำ ควรพูดคุยกับแพทย์ถึงวิธีการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต เพื่อจัดการกับโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ