ภาวะท่อน้ำตาอุดตันเกิดจากการที่ระบบระบายน้ำตาอุดตันแค่บางส่วนหรือทั้งหมด จนน้ำตาไม่สามารถระบายออกได้ตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองที่ดวงตา
โดยภาวะดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นกับคนได้ทุกวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ในทารกแรกเกิด ภาวะท่อน้ำตาอุดตันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติและไม่จําเป็นต้องได้รับการรักษา อาการมักดีขึ้นภายในขวบปีแรก ในผู้ใหญ่ อาการอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ การได้รับบาดเจ็บ หรือเนื้องอกที่พบได้ยาก ผู้ป่วยสามารถพูดคุยปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและอายุของผู้ป่วย
อาการ
- น้ำตาไหล
- ตาแดง
- ดวงตาติดเชื้อหรืออักเสบ
- หัวตาบวม
- มีขี้ตา
- มีหนองที่ดวงตา
- มองเห็นไม่ชัด
ควรพบแพทย์เมื่อไร
หากมีอาการน้ำตาไหล 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ทำการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุดหากภาวะท่อน้ำตาอุดตันเกิดจากเนื้องอก
สาเหตุ
หลังจากที่ต่อมน้ำตา (lacrimal glands) ด้านในเปลือกตาบนผลิตน้ำตาออกมาแล้ว น้ำตาจะไหลเคลือบพื้นผิวของดวงตา และไหลลงรูระบายน้ำตา (puncta) ที่หัวเปลือกตาบนและล่าง รูระบายน้ำตาเชื่อมต่อกับทางระบายน้ำตา (canaliculi) ซึ่งจะระบายน้ำตาต่อไปยังถุงน้ำตา (lacrimal sac) น้ำตาจะไหลต่อไปยังท่อน้ำตาด้านในโพรงจมูก (nasolacrimal duct) ซึ่งน้ำตาจะถูกดูดซึมกลับเข้ามาในร่างกาย
สาเหตุของภาวะท่อน้ำตาอุดตันที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ภาวะท่อน้ำตาอุดตันตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากระบบระบายน้ำตายังไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ในทารกแรกเกิด
- รูระบายน้ำตาตีบลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น
- การติดเชื้อหรืออักเสบเรื้อรัง
- การได้รับบาดเจ็บบริเวณท่อน้ำตา
- เนื้องอก
- การใช้ยา เช่น ใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหินเป็นเวลานาน
- การรักษามะเร็งโดยเคมีบำบัดและรังสีรักษาอาจส่งผลข้างเคียงทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน
ปัจจัยเสี่ยง
- อายุที่มากขึ้น
- โรคตาอักเสบเรื้อรัง เช่น ตาแดง
- โรคต้อหิน
- มีประวัติได้รับการรักษามะเร็งหรือผ่าตัดดวงตา
ภาวะแทรกซ้อน
- การติดเชื้อหรืออาการอักเสบที่ดวงตา จากการสะสมของแบคทีเรีย เชื้อรา หรือเชื้อไวรัส
การป้องกัน
- ไม่ขยี้ตา
- ล้างมือบ่อย ๆ
- หมั่นทำความสะอาดคอนแทคเลนส์อยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางรอบดวงตาร่วมกับผู้อื่น
การตรวจวินิจฉัย
- การซักประวัติ
- การตรวจร่างกาย รวมไปถึงการตรวจดวงตาและโพรงการจมูก
- การตรวจประสิทธิภาพการระบายน้ำตา โดยแพทย์จะป้ายสีย้อมชนิดพิเศษลงบนดวงตา หากยังมีสีตกค้างอยู่บนดวงตาหลังผ่านไป 5 นาที ผู้ป่วยอาจมีภาวะท่อน้ำตาอุดตัน
- การสอดแท่งระบายท่อน้ำตาด้านในโพรงจมูก แพทย์จะสอดแท่งเข้าไปในรูระบายน้ำตาเพื่อตรวจดูการอุดตัน
- การตรวจวินิจฉัยดวงตาด้วยภาพถ่าย แพทย์จะป้ายสีย้อมชนิดพิเศษลงบนดวงตา แล้วจึงตรวจดูภาพจากการเอกซ์เรย์ การเอกซ์เรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือ การตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาบริเวณที่อุดตัน ซึ่งวิธีนี้จะใช้กรณีสงสัยมีเนื้องอกหรือมีความผิดปกติอื่นร่วมด้วย
การรักษา
- หากมีการติดเชื้อบริเวณหัวตา ให้ยาปฏิชีวนะแบบหยอดหรือรับประทานเพื่อบรรเทาอาการติดเชื้อ
- การนวดท่อน้ำตา ภาวะท่อน้ำตาอุดตันตั้งแต่กำเนิดสามารถหายได้เอง แต่การนวดจะช่วยเปิดพังผืดที่ปิดท่อน้ำตาของทารกแรกเกิด
- การรอให้ร่างกายซ่อมแซมตนเอง หากอาการเกิดจากการได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า แพทย์อาจแนะนำให้รอ 2-3 เดือน เพื่อให้อาการบาดเจ็บ เช่น อาการบวมบรรเทาลง ไม่ไปปิดกั้นท่อน้ำตา
- การขยายท่อน้ำตา แยงท่อน้ำตา และการล้างท่อน้ำตา แพทย์จะแนะนำให้ทำในผู้ใหญ่ที่รูระบายน้ำตาตีบ โดยแพทย์จะทำการขยายท่อน้ำตาด้วยท่อขนาดเล็กแล้วจึงล้างท่อน้ำตา
- การสอดท่อระบายน้ำตา แพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปในรูระบายน้ำตาผ่านไปยังท่อระบายน้ำตาในโพรงจมูก โดยจะร้อยท่อทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือนก่อนนำออก
- การผ่าตัด การผ่าตัดเปิดทางเชื่อมระหว่างถุงน้ำตากับช่องจมูก เป็นการผ่าตัดรักษาท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะทำการวางยาสลบและทำการเปิดท่อน้ำตาที่อุดตัน โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
- การผ่าตัดแบบดั้งเดิม: แพทย์จะกรีดเปิดช่องขนาดเล็กด้านข้างจมูก ใกล้ถุงน้ำตา และสอดท่อเข้าไปเพื่อทำทางระบายน้ำตาใหม่
- การผ่าตัดส่องกล้อง: แพทย์จะสอดกล้องเข้าไปในโพรงจมูกเพื่อสอดเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปในทางระบายน้ำตา โดยไม่มีรอยกรีดหรือรอยแผลเป็น
- การอุดตันของทางระบายน้ำตาบางชนิด จำเป็นต้องมีการใส่แท่งแก้วเพื่อเป็นทางระบายน้ำตาใหม่ที่บริเวณหัวตา ซึ่งการใส่แท่งแก้วจำเป็นต้องใส่ไปตลอดชีวิต ใช้กับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ก่อนพบแพทย์ของคุณ ผู้ป่วยอาจจดบันทึกสิ่งเหล่านี้
- อาการที่มีไม่ว่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับภาวะท่อน้ำตาอุดตัน
- ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
- น้ำตาเทียมที่ใช้อยู่
- คําถามที่ต้องการจะถามแพทย์
ตัวอย่างคําถามที่ผู้ป่วยอาจถามแพทย์
- ภาวะท่อน้ำตาอุดตันเกิดจากอะไร
- จำเป็นต้องทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมหรือไม่
- แพทย์แนะนำการรักษาด้วยวิธีใด มีผลข้างเคียงหรือไม่
- อาการจะส่งผลต่อการมองเห็นหรือไม่
ตัวอย่างคําถามที่แพทย์อาจถาม
- เริ่มมีอาการเมื่อไร มีหัวตาบวม อักเสบร่วมด้วยหรือไม่
- มีอาการตลอดเวลาหรือไม่
- อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง
- มีประวัติศัลยกรรมใบหน้าหรือเปลือกตา หรือฉีดฟิลเลอร์รอบดวงตา
- มีประวัติการฉายแสงบริวเณใบหน้ามาก่อน
- มีโรคประจําตัว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือโรคเบาหวานหรือไม่