เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ต้อกระจก คืออะไร
- ต้อกระจก เกิดจากอะไร
- ต้อกระจกมีกี่ระยะ
- ต้อกระจก รักษาอย่างไร
- วิธีการป้องกันโรคต้อกระจก
- ต้อกระจก มองไม่ชัด ตาพร่ามัว รักษาได้
ต้อกระจก (Cataract)
ต้อกระจก (Cataract) หรือ ภาวะเลนส์ตาขุ่น เป็นการเสื่อมสภาพของโปรตีนเมทริกซ์ของเลนส์ตา ที่ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัว และส่งผลให้การมองเห็นลดลง เลนส์ตาปกติจะมีลักษณะใส ช่วยให้แสงผ่านไปยังจอประสาทตา เซลล์รับแสงซึ่งไวต่อแสงจะแปลงแสงเป็นสัญญาณประสาทส่งถึงสมองผ่านเส้นประสาทตา สมองจะประมวลผลข้อมูล และแปลงเป็นสัญญาณภาพของวัตถุต่าง ๆ ที่เรามองเห็น ต้อกระจกสีขาวขุ่น ขัดขวางไม่ให้แสงเข้าไปรวมศูนย์ที่จอประสาทตา ทำให้คุณภาพการมองเห็นลดลง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ต้อกระจก คืออะไร
ต้อกระจก คือ บริเวณเลนส์แก้วตาที่มีลักษณะสีขาวขุ่น เหมือนมีเมฆหมอกมาบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นตลอดเวลา ทำให้ มองเห็นภาพได้ไม่ชัดเจน เห็นเป็นฝ้าขาว เห็นแสงเป็นวง ๆ เห็นสีซีดลงออกโทนเหลืองจาง ในบางราย อาจเห็นแสงสว่างจากหลอดไฟเป็นแสงแตกกระจาย หรือถูกบดบังแม้อยู่ในที่สว่าง ทำให้มองเห็นไม่ชัดแม้ในเวลากลางวัน
ต้อกระจกอาจเกิดกับดวงตาเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง เกิดได้ทั้งเพศชายและหญิง และไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือระคายเคืองใด ๆ ที่ตา โดยโรคต้อกระจกจะค่อย ๆ พัฒนาก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ การมองเห็นภาพต่าง ๆ จะค่อย ๆ เลือนลง มองเห็นภาพจาง ๆ เบลอๆ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน
ต้อกระจก เกิดจากอะไร
ต้อกระจกเกิดจากการเสี่อมสลายของโปรตีนในเลนส์ตาที่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น โปรตีนจะเกิดการเสื่อมสลายและจับกลุ่มหนาตัว รวมกันเป็นต้อกระจก ต้อกระจกจึงมักพบในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปจากการที่เลนส์ตาเสี่อมลงตามวัย นอกจากนี้ ต้อกระจกยังอาจเกิดจากอาการบาดเจ็บที่บริเวณเลนส์ตา อุบัติเหตุที่ดวงตา โรคติดเชื้อเกี่ยวกับดวงตา หรือความผิดปกติแต่กำเนิดในครรภ์มารดา เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมัน
ต้อกระจก สาเหตุ
- อายุที่เพิ่มขึ้น
- การติดเชื้อก่อนคลอด เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันของมารดาขณะตั้งครรภ์
- ความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคกาแลคโตซีเมีย ภาวะคลอดก่อนกำหนด ต้อกระจกโดยกำเนิด
- โรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบ โรคลูปัส โรควิลสัน
- การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานเพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบ หรือโรคลูปัส
- การใช้ยากลุ่มฟิโนไทอาซีน (Phenothiazine) เพื่อรักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด เช่น ไบโพลาร์
- ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาขยายม่านตา ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ ยาลดระดับไขมันในเส้นเลือด หรือยา Tamoxifen เพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านม เป็นต้น
- โรคภายในระบบตาที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นต้อกระจก เช่น การอักเสบติดเชื้อภายในดวงตา ม่านตาอักเสบ ลูกตาติดเชื้อ โรค Exfoliation syndrome โรคลูกตาส่วนหน้าขาดเลือด (Anterior segment ischemia) โรคจอประสาทตาเสื่ยมแบบ RP (Retinitis pigmentosa)
- การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมาก (UV) เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่ได้สวมแว่นกันแดดหรืออุปกรณ์ป้องกัน
- การได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนที่บริเวณดวงตา เช่น เศษโลหะเข้าตา เศษหินกระเด็นเข้าตา หรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อภายในลูกตาที่ทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อกระจก
- เคยผ่านการฉายรังสีที่บริเวณส่วนบนของร่างกาย หรือที่บริเวณศีรษะ
- ผู้ที่เคยผ่าตัดจอประสาทตา ผ่าตัดน้ำวุ้นตา
- สารเคมีเข้าตา
- การถูกช๊อตด้วยไฟฟ้า
- ควันบุหรี่ หรือการสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ
ต้อกระจก อาการเริ่มต้น
ต้อกระจก อาการเริ่มต้น จะมีสายตาสั้นและสายตาเอียง โดยสายตาจะเริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จากระดับและตำแหน่งความขุ่นของเลนส์แก้วตาที่เหมือนมีฝ้าขาว หรือเมฆหมอกมาบดบังการมองเห็น จนกระทั่ง ต้อกระจกสุกมากเกินไป อาจทำให้เป็น ต้อหินตามมา ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากแรงดันในลูกตาที่สูงขึ้นจนกระทั่งอาจทำให้ตาบอดในที่สุด ต้อกระจก อาการเริ่มต้นมีดังนี้
- ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน แม้อยู่ในที่สว่างแต่มองเห็นเหมือนอยู่ในที่มีแสงน้อย
- มองเห็นสีของวัตถุต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไป มองภาพเป็นสีออกเหลืองหรือสีซีดจาง
- มองเห็นลำบากในเวลากลางคืน เพ่งสายตามากกว่าปกติ ต้องการแสงสว่างมากขึ้นในการมอง
- ตาไม่สู้แสง มองเห็นแสงที่หลอดไฟแตกกระจายหรือเห็นแสงเป็นวง
- ประสิทธิภาพในการมองเห็นของตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด
- เปลี่ยนแว่นตาบ่อยขึ้น ต้อกระจกทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนไป
- เมื่อต้อกระจกพัฒนาไปถึงระยะต้อกระจกสุก หรือระยะสุดท้าย จะมองเห็นเป็นเปื้อนขาวที่ตรงกลางรูม่านตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคต้อหิน และตาบอดถาวรในที่สุด
ต้อกระจกมีกี่ระยะ
ต้อกระจกแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 (Incipient) ระยะที่เลนส์ตาเริ่มขุ่นมัว ตามองเห็นไม่ชัดเจน ตามองเห็นแสงสะท้อนที่รบกวนการมองเห็น และตาเหนื่อยล้าง่าย ในระยะนี้ การดำเนินโรคแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1.) รอบเลนส์ตาขุ่น แต่ตรงกลางเลนส์ตาใส หรือ 2.) รอบเลนส์ตาใส แต่ตรงกลางเลนส์ตาขุ่น ต้อกระจกในระยะนี้ จะยังไม่รบกวนการมองเห็นมากนักจนกว่าต้อกระจกจะมีความขุ่นมัวมากขึ้น
- ระยะที่ 2 (Intumescent) ระยะที่ต้อกระจกมีความขุ่นมัวมากขึ้น บริเวณตาขุ่นขยายตัวมากขึ้น และมีอาการเลนส์ตาบวม ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- ระยะที่ 3 (Mature) ระยะที่ต้อกระจกมีความขุ่นมัวมาก ความขาวขุ่นได้ขยายตัวไปทั่วเลนส์ตา ทำให้ตามัวไปหมด แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงจอประสาทตาได้ ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
- ระยะที่ 4 (Hypermature) ระยะที่ต้อกระจกสุกมากเกินไป ต้อกระจกจะมีความขาวขุ่นมาก แข็งตัว และอาจเกิดการหดตัวและเคลื่อนที่จนทำให้มีปัญหาในการมองเห็นหลายประการ ต้อกระจกในระยะนี้เป็นอันตราย และควรเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็น โรคต้อหิน และทำให้ตาบอดถาวร
การวินิจฉัยต้อกระจก มีวิธีการอย่างไร
การวินิจฉัยโรคต้อกระจกระยะแรกเริ่มอาจกระทำได้ยาก เนื่องจากต้อกระจกยังไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับสายตา จนกระทั่งต้อกระจกเริ่มสุกจนเห็นเป็นจุดสีขาวขุ่นที่บริเวณตาดำ ผู้ที่มีความเสี่ยงจึงควรหมั่นสังเกตดวงตาของตนเองในกระจก โดยหากพบความผิดปกติหรือไม่แน่ใจว่าเป็นความผิดปกติหรือไม่ ควรพบจักษุแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ วิธีการวินิจฉัยมีดังนี้
- ตรวจวัดสายตา (Visual acuity test) ตรวจวัดค่าสายตาเพื่อประเมินความสามารถในการมองเห็น
- ตรวจวัดความดันลูกตา (Tonometry test) ตรวจประเมินค่าความดันลูกตาว่าผิดปกติหรือไม่
- ตรวจด้วยกล้องจักษุจุลทรรศน์ (Slit lamp examination) ตรวจตาโดยใช้กล้องจักษุจุลทรรศน์ชนิดลำแสงแคบเพื่อส่องตรวจดูโครงสร้างภายในดวงตา เช่น กระจกตา รูม่านตา เลนส์ตา รวมถึงจอประสาทตา เพื่อหาความผิดปกติ
- ตรวจจอประสาทตาผ่านการขยายรูม่านตา (Dilated eye exam) เป็นการตรวจจอประสาทตาด้วยการหยอดยาขยายรูม่านตาให้เปิดกว้าง จากนั้นจะใช้เลนส์ขยายชนิดพิเศษเพื่อตรวจหาความผิดปกติบริเวณจอประสาทตาและเส้นประสาทตา ทั้งนี้ การหยอดยาตาอาจทำให้ตาพร่ามัวชั่วคราว
ต้อกระจก รักษาอย่างไร
การรักษาต้อกระจกระยะแรกเริ่มที่ยังไม่รบกวนการใช้ชีวิตมากนัก จักษุแพทย์จะนัดตรวจดูแลดวงตาเป็นระยะ อาจให้ปรับแว่นสายตา และแนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้า เช่น แสงแดดจ้า เพื่อช่วยชะลออาการ จนกระทั่งอาการต้อกระจกมากขึ้น ส่งผลต่อการมองเห็น และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จักษุแพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดต้อกระจก เพื่อนำเลนส์ตาขาวขุ่นออก แล้วนำเลนส์แก้วตาตาเทียมใส่เข้าไปแทนที่ วิธีการผ่าตัดต้อกระจกที่ได้รับความนิยม มีดังนี้
- การผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูง (Phacoemulsification) เป็นการสลายต้อกระจกโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปสลายต้อกระจกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ เป็นการผ่าตัดต้อกระจกด้วยเทคนิคแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสากลทั่วโลก ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี Digital Marking System และ Wavefront Technology ขั้นสูง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด และให้ได้ค่าสายตาหลังการผ่าตัดที่เหมาะสม
- การผ่าตัดต้อกระจกโดยการใช้เลเซอร์ (Femtosecond Laser-Assisted Cataract Surgery) เป็นการรักษาต้อกระจกโดยการใช้เทคโนโลยี Femtosecond Laser ประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ต้อกระจกแตกตัวออกเป็นส่วน ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย ทำให้ง่ายต่อการสลายต้อกระจกด้วยคลื่น Ultrasound ที่ใช้พลังงานน้อยลง
- การผ่าตัดต้อกระจกโดยเอาเลนส์ต้อกระจกออก เหลือถุงหุ้มเลนส์ไว้ (Extracapsular cataract extraction: ECCE) เป็นการผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นต้อกระจกแข็งออกเป็นชิ้นเดียว ดูดเลนส์ตารอบนอกออกให้เหลือถุงหุ้มเลนส์ไว้แล้วใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไป โดยยึดเข้ากับถุงหุ้มเลนส์ตาด้านหลัง เป็นการผ่าตัดที่มีขนาดแผลกระจกตาใหญ่กว่าเพื่อนำเลนส์ตาเสื่อมสภาพชิ้นใหญ่ออก ทั้งนี้ จักษุแพทย์จะใช้วิธีการนี้เฉพาะในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งมาก ซึ่งยากต่อการสลายต้อกระจก
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดต้อกระจก
จักษุแพทย์จะตรวจตาอย่างละเอียดและส่งวัดเลนส์แก้วตาเทียม วัดความดันตาและจอประสาทตา วัดขนาดและระดับสายตา วัดความโค้งกระจกตา และความยาวลูกตาก่อนการขยายม่านตาเพื่อให้ได้ค่าสายตาที่ถูกต้องก่อนคำนวณเพื่อเลือกขนาดเลนส์ตาที่เหมาะกับผู้รับการผ่าตัดมากที่สุด การผ่าตัดสลายต้อกระจกจะใช้เวลาในการผ่าตัด 20-45 นาที และสามารถกลับบ้านได้หลังการผ่าตัดโดยไม่ต้องพักฟื้นที่ รพ. แต่อย่างใด การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดต้อกระจก มีดังนี้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือทานยารักษาโรค ควรแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบล่วงหน้าก่อนวันผ่าตัด
- ผู้ที่ทานยาละลายลิ่มเลือด ควรงดยาอย่างน้อย 7 วัน ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ฝึกนอนท่าราบโดยใช้ผ้าคลุมใบหน้าและไม่หนุนหมอนอย่างน้อย 30 นาที ก่อนวันผ่าตัดจริง
- ในผู้ที่ใช้วิธีดมยาสลบ ควรงดรับประทานอาหารอย่างน้อย 12 ชม. ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ทำความสะอาดร่างกายให้พร้อม อาบน้ำ ล้างหน้า สระผมให้สะอาด และงดการแต่งหน้า
- ผู้ที่สวมฟันปลอมทุกชนิด ต้องถอดออก และรวมถึงเครื่องประดับทุกชนิด
- ควรมีญาติมาด้วยในวันผ่าตัด เพื่อช่วยขับรถกลับบ้าน
การดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อกระจก
หลังการผ่าตัดต้อกระจก จักษุแพทย์จะปิดตาข้างที่ผ่าตัดเอาไว้และจะเปิดผ้าปิดตาออกในวันรุ่งขึ้น โดยจักษุแพทย์จะนัดให้เข้ามาประเมินอาการในวันถัดไป การดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อกระจก มีดังนี้
- หยอดยาตามเวลาที่จักษุแพทย์กำหนดทุกครั้ง
- หากมีอาการปวด ทานยาแก้ปวดตามที่จักษุแพทย์สั่งเพื่อบรรเทาอาการปวด
- ระวังห้ามไม่ให้น้ำเข้าตาโดยเด็ดขาด จนกว่าแผลจะหายสนิท
- ห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด และระวังอย่าให้ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือน
- ก่อนนอนให้ใช้ที่ครอบตา ครอบก่อนนอน เพื่อป้องกันการขยี้ตา
- งดการนอนตะแคงข้างที่ผ่าตัดต้อกระจกลง
- งดการออกกำลังกาย หรือยกของหนัก
- งดการทานอาหารรสจัด เพื่อป้องกันเหงื่อ
- ระวังไม่ไอ จามแรง ๆ ไม่ก้มศีรษะต่ำ
- มาตรวจตาตามจักษุแพทย์นัดทุกครั้ง เพื่อประเมินผลการรักษา
ต้อกระจก อันตรายไหม
ต้อกระจกสุกที่ไม่ได้รับการรักษา จะเห็นเป็นเปื้อนขาวที่กลางรูม่านตา เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้การมองเห็นแย่ลง รบกวนการมองเห็น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตโดยรวมหลายด้าน เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือ การทำงาน งานอดิเรก การจดจำใบหน้า การเล่นกีฬา และความเสี่ยงพลัดตก หกล้ม ต้อกระจกที่ถูกปล่อยจนต้อสุกมากเกินไป จะทำให้เกิดการอักเสบภายในดวงตา มีอาการปวดตา ตาแดง และทำให้เป็นโรคต้อหินที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น และอาจทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
วิธีการป้องกันโรคต้อกระจก
ต้อกระจกเป็นโรคที่เกิดจากความเสี่อมสภาพของเลนส์ตาตามวัยที่ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการป้องกันได้ 100% อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อายุน้อยก็สามารถเป็นโรคต้อกระจกได้หากสะสมปัจจัยเสี่ยงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทั้งนี้ โรคต้อกระจกสามารถชะลอการเกิดได้โดยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและลดปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดสว่างจ้าโดยตรง สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสี UVA/UVB
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูดดมควันบุหรี่ หรือการดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการดูจอเป็นระยะเวลานาน ๆ ควรพักสายตาเป็นระยะ
- จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีแสงสว่างที่เพียงพอต่อการมองเห็น
- หากทำงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันวัตถุกระเด็นเข้าตาเสมอ
- ไม่ซื้อยาหยอดตามาหยอดเอง
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตา
ต้อกระจก มองไม่ชัด ตาพร่ามัว รักษาได้
ดวงตา คืออวัยวะที่เราหวงแหนและอยากรักษาไว้ให้คงซึ่งประสิทธิภาพการมองเห็นตลอดไป ในปัจจุบัน การผ่าตัดต้อกระจกใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มความแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้กลับมามองเห็นได้ดีอีกครั้ง ทั้งนี้ การตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอและรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อพบอาการ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาต้อกระจกให้หาย เพื่อให้คงไว้ซึ่งดวงตาคู่สำคัญให้อยู่คู่เราไปตราบเท่านาน