เลือกหัวข้อที่อ่าน
- อาการแบบใดที่เหมาะสมแก่การทำรากเทียม?
- วัตถุประสงค์และประโยชน์ของรากฟันเทียม
- เปรียบเทียบกับการทำสะพานฟันและการละลายของกระดูก
- ข้อดีของการทำรากฟันเทียม มีอะไรบ้าง?
- การเตรียมตัวเข้ารับการทำรากฟันเทียม
- ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม เป็นอย่างไร?
การใส่รากฟันเทียม คืออะไร?
รากฟันเทียม คือการรักษาที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ใช้วัสดุที่ทำจากไททาเนียมที่มีรูปร่างคล้ายรากฟัน ที่ใช้ทดแทนฟันที่หายไปในผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยี ทางด้านรากเทียมมีการพัฒนาไปมาก ในอดีตการทํารากเทียม นอกจากจะยุ่งยากแล้ว ยังใช้เวลาในการรักษานานอีกด้วย ในอดีตการทําฟันรากเทียมนอกจากจะยุ่งยากแล้วยังใช้เวลาในการรักษานานอีกด้วย อาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีหรือมากกว่านั้นแต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านรากเทียม พัฒนาไปไกลทำให้สามารถย่นระยะเวลาการรักษาได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
การพัฒนาเทคโนโลยีรากฟันเทียม
รากเทียมในปัจจุบันมีการยึดติดกับกระดูกได้เร็วและเทคนิคในการฝังและใส่ฟัน ซึ่งเอื้อให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการรักษาได้เร็วและมีประสิทธิภาพ ในบางรายผู้รักษาสามารถมีฟันกลับไปได้ใน 1 วัน หรืภายใน 1 อาทิตย์
วัตถุประสงค์และประโยชน์ของรากฟันเทียม
ปัจจุบันการใส่รากฟันเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการใส่ฟันที่ดีที่สุด จุดประสงค์ของการทำฟันแบบรากเทียม คือการรักษาโดยการใส่รากฟันเทียมเพื่อแทนที่ฟันธรรมชาติที่เกิดปัญหาอันเนื่องจากฟันผุ โรคเหงือกหรืออุบัติเหตุ เป็นต้น รากเทียมผลิตขึ้นจากไทเทเนียมที่สามารถเข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี
การออกแบบและอายุการใช้งานของครอบฟัน
โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นคนออกแบบรูปร่างและสีของครอบฟันบนรากเทียมให้มีความใกล้เคียงกับสีของฟันธรรมชาติมากที่สุด การใส่ฟันรากเทียมมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และมอบประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ ทำให้คนไข้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกประเภท โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ข้อดีอีกอย่างของการทำฟันรากเทียมคือสามารถช่วยเรื่องการพูดออกเสียงได้อีกด้วย
ประโยชน์อื่น ๆ ของการทำฟันรากเทียมคือช่วยลดการละลายของสันกระดูกที่รองรับฟันปลอม ทำให้สามารถทำความสะอาดฟันได้ง่าย เพราะการดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ทำให้คนไข้ยิ้มได้อย่างมั่นใจเพราะมีความสวยงามเหมือนฟันธรรมชาติ ดังนั้นทันตกรรมรากเทียมจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและมีแนวโน้มว่าจะมาแทนที่การทำสะพานฟันเพราะการทำรากเทียมไม่ส่งผลข้างเคียงต่อฟันที่เหลืออยู่ ในขณะที่การทำสะพานฟันจะส่งผลกระทบต่อฟันธรรมชาติข้างเคียง
การเปรียบเทียบกับการทำสะพานฟันและการละลายของกระดูก
เนื่องจากการทำสะพานฟันคือการเสริมฟันบริเวณด้านบนของเหงือก หลังจากเวลาผ่านไปกระดูกที่ทำหน้าที่รองรับรากฟันของซี่ที่ได้รับการถอนจะเกิดการละลาย ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของกระดูกบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะจะกระทบบริเวณฟันหน้าด้านบน ส่งผลให้โครงหน้าเปลี่ยนและดูเกินวัย แต่การทำฟันรากเทียมจะช่วยรักษากระดูกรองรับรากฟันไว้และช่วยคงไว้ซึ่งกระดูกส่วนนั้นให้คงอยู่สภาพเดิมและไม่ละลาย
ส่วนประกอบของรากเทียม มีอะไรบ้าง?
- ส่วนที่ฝังลงไปในกระดูก (Implant body or fixture) ส่วนที่ฝังลงในกระดูก คือส่วนที่มีลักษณะคล้ายสกรูหรือน๊อตและจะฝังจมลงไปในกระดูกขากรรไกร ช่วยในการยึดติดของกระดูกขากรรไกรเปรียบเสมือนรากฟัน
- ส่วนยึดต่อระหว่างส่วนที่ฝังลงไปในกระดูก (Implant abutment) ส่วนยึดต่อกับส่วนทันตกรรมประดิษฐ์ทำจากวัสดุไททาเนียมหรือเซรามิค ทำหน้าที่เหมือนส่วนของตัวฟัน
- ส่วนทันตกรรมประดิษฐ์ (Prosthetic component) ส่วนทันตกรรมประดิษฐ์คือส่วนของฟันเทียมที่ใช้ยึดกับอะบัตเมนท์ด้วยกาวทางทันตกรรมหรือสกรูในการทำครอบสะพานฟันหรือฟันเทียมที่สามารถถอดได้
รากเทียมมีกี่ชนิด ?
รากเทียมแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลักและการใช้แต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับสภาพภายในช่องปากและความจำเป็น
- การฝังรากเทียมโดยทั่วไป (Conventional implant)
สำหรับการทำฟันรากเทียมชนิดนี้พบว่ามีข้อจำกัดน้อยมากหากมีการวางแผนการรักษาไว้อย่างดี ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ คนไข้บางรายมีปริมาณของกระดูกที่น้อยมากๆ ในบริเวณที่จะประสงค์จะทำการฝังรากเทียม ดังนั้นจึงต้องมีการปลูกกระดูกก่อนและคนไข้บางรายอาจมีเหตุให้ปลูกกระดูกไม่ได้ - การฝังรากเทียมทันทีหลังจากทำการถอนฟันธรรมชาติออก (Immediate implant)
การทำฟันแบบรากเทียมด้วยวิธีนี้สามารถช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาการทำลงได้อย่างมากและยังช่วยลดการละลายของกระดูก ลดความเสี่ยงในการการเกิดเหงือกร่น อย่างไรก็ตามคนไข้ที่จะสามารถทำรากเทียมชนิดนี้ได้จำเป็นต้องมีปริมาณกระดูกเพียงพอให้รากเทียมสามารถยึดได้และจะต้องไม่พบพยาธิสภาพที่ปลายรากฟันในตำแหน่งฟันที่จะถอน โดยตำแหน่งฟันที่จะทำการใช้ได้คือฟันหน้าหรือฟันกรามน้อย - การต่อส่วนของทันตกรรมประดิษฐ์ (Immediate loaded implant)
การทำรากเทียมชนิดนี้คือการทำครอบฟันทั้งแบบชั่วคราวหรือถาวรไปที่รากเทียมทันทีที่ทำการฝังรากเทียม ข้อดีของการใส่รากฟันเทียมวิธีนี้คือจะช่วยร่นระยะเวลาของการรักษาลงไปได้ค่อนข้างเยอะ และยังดูสวยงามเพราะคนไข้จะมีฟันอยู่ตลอดเวลาในทางกลับกันก็ยังมีข้อจำกัดอีกมากหากจะใช้วิธีนี้
ทั้งนี้ ในแต่ละเทคนิคและรูปแบบของการใส่รากฟันเทียมขึ้นอยู่กับสภาพคนไข้นั้นๆ โดยทันตแพทย์ผู้ทําการรักษาจะตรวจและประเมินเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละท่าน
เทคนิคการรักษาแบบใส่รากฟันเทียม
การรักษาโดยการใส่รากฟันเทียมในปัจจุบัน มีเทคนิคในการรักษา ดังนี้
- การออกแบบวางแผนการรักษาด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อความแม่นยําและมีประสิทธิภาพสูงสุด เราสามารถเห็นภาพเคสการรักษาตั้งแต่เริ่มจนจบ และสามารถดูอวัยวะข้างเคียงเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายได้
- การใส่รากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน เพื่อให้คนไข้ลดการทําผ่าตัด และความบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น
- การบูรณะด้วยการทำฟันรากเทียมทั้งปาก ในเทคนิคที่เรียกว่า All on4 โดยการใส่รากเทียม เพื่อเป็นหลักยึดฟันปลอมทั้งปากแบบติดแน่น และผู้ป่วยสามารถได้ฟันภายในเวลา 1 อาทิตย์
- การใส่ฟันชั่วคราวแบบติดแน่นบนรากเทียม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีฟันใช้ขณะรอรากเทียมยึดติดกับกระดูก
- การปลูกกระดูกพร้อมกับการใส่รากเทียม ไม่ว่าจะเป็นบริเวณต่าง ๆ ในช่องปาก หรือในโพรงอากาศ
อาการแบบใดที่เหมาะสมแก่การทำรากเทียม?
คนที่เหมาะกับการรักษาแบบใส่รากฟันเทียมคือคนที่ต้องการให้ฟันดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด รวมถึงต้องการยิ้มและเสริมสร้างความมั่นใจ ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวให้ดีขึ้น หรือมาทดแทนฟันที่เหลืออยู่ซึ่งไม่แข็งแรงและไม่สามารถทำหน้าที่เป็นฟันหลักยึดให้กับฟันเทียมชนิดอื่นๆ รวมถึงคนไข้ที่สามารถทำฟันปลอมแบบถอดแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการทำ
ดังนั้นการรักษาโดยการใส่รากฟันเทียมจึงสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ อย่างการใส่รากเทียมเพื่อทดแทนฟันที่หายไป 1-2 ซี่ การทำรากเทียมถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน นอกจากนี้รากเทียมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้รากฟันเทียมชนิดถอดได้อีกด้วย
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำฟันแบบรากเทียม?
โดยทั่วไปผู้ที่สูญเสียฟันแท้ไปสามารถรักษาด้วยรากเทียมได้ทุกคนและทุกช่วงอายุ แต่ไม่แนะนำให้ทำในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปีเพราะกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ในกรณีที่คนไข้ตั้งครรภ์ ควรคลอดบุตรก่อนทำรากเทียม โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น คนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ไม่สามารถควบคุมได้ คนไข้โรคมะเร็งที่รับการรักษาด้วยการฉายรังสีบริเวณใบหน้าและขากรรไกร คนไข้โรคปริทันต์อักเสบรุนแรง คนที่เป็นป่วยเป็นโรคลูคิเมีย หรือป่วยด้วยโรคไฮเปอร์ไทรอยด์จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมก่อนทำการฝังรากเทียม
นอกจากนี้คนไข้ที่รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน หรือป่วยด้วยโรคทางจิตเภท หรือมีอาการไขข้ออักเสบรุนแรง รวมถึงผู้มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ประสบปัญหาการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้ คนไข้ที่ทานยาบางชนิด เช่น ยารักษากระดูกพรุนบางตัว หรือผู้ที่สูบบุหรี่จัด ไม่ควรเข้ารับการทำรากเทียม เพราะจะมีผลต่อความสำเร็จในการรักษา
การเตรียมตัวเข้ารับการทำรากฟันเทียม
คนไข้ที่จะทำการเข้ารับการรักษาด้วยการทำรากฟันเทียม จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจและประเมินจากทันตแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการบดเคี้ยวและขั้นตอนการทำทันตกรรมประดิษฐ์ จะทำการเลือกรากเทียมที่เหมาะสมกับคนไข้ หากคนไข้มีโรคประจำตัว หรือรับประทานยาอยู่ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ นอกจากนั้นการดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดีเป็นสิ่งสำคัญที่คนไข้ควรปฏิบัติก่อนทำการเข้ารับการรักษา
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม เป็นอย่างไร?
- ส่วนที่ 1 - เริ่มต้นขั้นตอนด้วยการฝังฟันรากเทียมจะใช้เวลาการทำประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้น 5-7 วันทันตแพทย์จะทำการนัดคนไข้เพื่อกลับมาติดตามอาการและเช็คแผล
- ส่วนที่ 2 - หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนส่วนที่ 1 ต่อไปคือการใส่ฟันบนรากเทียม ส่วนนี้จะจะใช้เวลาการทำห่างจากส่วนที่ 1 ประมาณ 2 เดือนหรือมากกว่า ระยะเวลาในการรักษาของส่วนนี้จะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน รวมกระบวนการรับส่งงานจากแลป
สาเหตุที่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลาการทำระหว่างส่วนที่ 1 กับส่วนที่ 2 อย่างน้อย 2 เดือน เพราะจะได้มีเวลาเพียงพอให้รากเทียมสามารถยึดติดกับกระดูกฟันให้แน่น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารากเทียมที่อาจหลุดได้ แต่ในบางครั้ง สามารถทำรากเทียมแบบใช้ทันทีได้ภายใน 1 อาทิตย์ ทั้งนี้ จะต้องปรึกษาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
หมายเหตุ: กรณีหากเป็นการปลูกกระดูกที่มีความซับซ้อน อาจจะมีความจำเป็นต้องปลูกกระดูกทิ้งไว้ 3-6 เดือน (โดยเฉพาะสำหรับกรณีที่กระดูกหายไปเป็นจำนวนมาก) หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ถึงทำการเริ่มทำส่วนที่ 1 หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำรากเทียมคนไข้จำเป็นต้องนัดพบทันตแพทย์เพื่อทำการเช็ครากเทียมเป็นประจำ ทุกๆ 6 เดือน
ข้อดีของการทำรากฟันเทียม มีอะไรบ้าง?
- ยิ้มได้อย่างมั่นใจและเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี
- สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติและมีการใช้งานที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด
- ไม่จำเป็นต้องทำการกรอเพื่อแต่งฟันข้างเคียง
- รับประทานอาหารที่คุณชื่นชอบได้ทุกชนิดได้อย่างไร้กังวล
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยว ดังนั้นจึงทำให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น
- พูดออกเสียงได้ชัดถ้อยชัดคำเป็นธรรมชาติ ไร้ปัญหาด้านการออกเสียง โดยเฉพาะหากเทียบกับการทำฟันเทียมชนิดอื่นๆ
- ช่วยเสริมประสิทธิภาพการใส่ฟันเทียมแบบถอดให้แน่นกระชับและใส่สบายมากยิ่งขึ้น
- ป้องกันการสูญเสียฟันและกระดูกข้างเคียง
- ช่วยบูรณะโครงสร้างของใบหน้าเพื่อความสมบูรณ์แบบมากขึ้น
- เสริมสร้างสุขภาพช่องปาก
- มีความคงทนและอยู่ถาวร
การใส่รากฟันเทียมสามารถใช้บูรณะในช่องปากได้หลายแบบ กล่าวคืออะไร?
- บูรณะฟัน 1 ซี่
- สะพานฟันบนรากเทียม
- บูรณะฟันทั้งปากแบบติดแน่น
- เป็นหลักยึดฟันปดได้ทั้ลอมถองปาก
อายุการใช้งานรากเทียมและการดูแลรักษา
รากเทียม ทำมาจากวัสดุไททาเนียมซึ่งมีความคงทน ดังนั้นอายุการใช้งานจะอยู่ที่ตัวคนไข้ในการดูแลรักษาสุขภาพช่องปาก รากเทียมจะไม่เกิดการผุแต่อาจส่งผลให้เกิดโรคเหงือกอักเสบหากดูแลสุขภาพช่องปากได้ไม่ดี การใส่รากฟันเทียมจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเหมือนการดูแลรักษาฟันธรรมชาติ เช่นการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ หากคนไข้ดูแลสุขภาพช่องปากได้ดีรากเทียมจะอยู่คงทนและถาว