เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ทำไมต้องตรวจเบาหวาน
- ปัจจัยเสี่ยงโรคเบาหวาน
- ตรวจเบาหวาน ตรวจอะไรบ้าง
- ผลการตรวจเบาหวาน
- ผลการตรวจเป็นเบาหวาน ต้องทำอย่างไร
- ตรวจเบาหวาน รพ. เมดพาร์ค
- ตรวจเบาหวาน รพ. เมดพาร์ค
ตรวจเบาหวาน (Diabetes Testing)
ตรวจเบาหวาน (Diabetes testing) คือ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน ค้นหาภาวะก่อนเบาหวาน หรือโรคเบาหวานที่ยังไม่แสดงอาการ เพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรม ควบคุมระดับน้ำตาล และรักษาโรคเบาหวานอย่างเข้มงวดตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเพื่อให้โรคเข้าสู่ระยะสงบ การตรวจเบาหวาน ช่วยให้ทราบระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยประเมินปัจจัยเสี่ยง และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคหลอดเลือดหัวใจ ไตเสื่อม ไตวาย โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย หรือเบาหวานที่เท้า การตรวจพบเบาหวานได้เร็ว จะช่วยกำหนดเป้าหมายการรักษา รับยาเพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ทำไมต้องตรวจเบาหวาน
ภาวะก่อนเบาหวาน และเบาหวานชนิดที่ 2 (ชนิดที่พบมากที่สุด) มักไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย หรือผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไป การตรวจพบภาวะก่อนเบาหวานได้เร็ว จะช่วยชะลอการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และรับการรักษาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ก่อนที่ระดับน้ำตาลจะพุ่งทะยานสูงขึ้นจนยากเกินควบคุม
สัญญาณและอาการเบาหวานระยะแรกเริ่ม
- อาการระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ปัสสาวะมากผิดปกติ หิวบ่อย ทานบ่อย หิวน้ำบ่อย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักตัวลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาการน้ำตาลสูงเฉียบพลัน เช่น อ่อนเพลียมาก เหนื่อยมาก คลื่นไส้ อาเจียน ความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง เป็นลม หมดสติ
- อาการแทรกซ้อนจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน เช่น ตาพร่ามัว ไตเสื่อม ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ผิวแห้ง ตาแห้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะแทรกซ้อนแทรกโรคเบาหวาน เช่น แผลติดเชื้อ แผลเรื้อรัง แผลหายช้า เบาหวานขึ้นตา แผลเบาหวานที่เท้า คันบริเวณอวัยวะเพศ เชื้อราในช่องคลอด เชื้อราที่ผิวหนัง โรคหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต
ปัจจัยเสี่ยงโรคเบาหวาน
เบาหวานชนิดที่ 1
- กรรมพันธุ์ มีประวัติบุคคลในครอบครัวเดียวกันหรือญาติสายตรงเป็นเบาหวานชนิดที่ 1
- อายุ มักพบในผู้ที่มีอายุน้อย เด็กวัยเรียน วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้น
ภาวะก่อนเบาหวาน และ เบาหวานชนิดที่ 2
- น้ำหนักเกิน มีภาวะอ้วน
- อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
- ไม่ออกกำลังกาย ขาดการออกกำลังกาย
- เป็นโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการสะสมของแอลกอฮอล์
- มีประวัติบุคลลในครอบครัวเดียวกันหรือญาติสายตรงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
- มีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวเกิน 4 กิโลกรัม
- มีประวัติโรคความดันโลหิตสูง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคอ้วนรุนแรง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ถุงน้ำรังไข่หลายใบ
เบาหวานขณะตั้งครรภ์
- มีน้ำหนักเกิน มีภาวะอ้วน
- มีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จากการตั้งครรภ์ครั้งก่อนหน้า
- มีประวัติบุคลลในครอบครัวเดียวกันหรือญาติสายตรงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
- มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูงกว่าปกติ (Impaired fasting glucose)
- มีประวัติเป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ
ใครที่ควรตรวจเบาหวาน
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 23 กิโลกรัม/เมตร2 เป็นโรคอ้วน มีรอบเอวเท่ากับหรือมากกว่า 90 ซม. ในเพศชาย หรือมีรอบเอวเท่ากับหรือมากกว่า 80 ซม. ในเพศหญิง หรือมากกว่าส่วนสูงหารด้วย 2 ของทั้งสองเพศ
- เป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจ
- จและหลอดเลือด โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ
- ไม่ออกกำลังกาย ขาดการออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายน้อย มีวิถีชีวิตนั่ง ๆ นอน ๆ
- มีประวัติบุคลลในครอบครัวเดียวกันหรือญาติสายตรงเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2
- เด็ก หรือ วัยรุ่น อายุระหว่าง 10-18 ปี ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือมีภาวะอ้วน
- ผู้ใหญ่ ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปทุกคน (ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด)
- ผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะก่อนเบาหวาน (ควรตรวจเบาหวานทุก ๆ 1 ปี)
- ผู้หญิงที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (ควรตรวจเบาหวานทุก 1-3 ปี)
- สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ซิการ์ ยาเส้น หรือเพิ่งหยุดสูบบุหหรี่ได้ไม่เกิน 1 ปี
- ผู้ที่กินจุแต่ผอม หิวบ่อย ทานบ่อย หิวน้ำบ่อย ชื่นชอบการทานหวาน
- ผู้ที่มีผิวหนังบริเวณลำคอ รักแร้ ขาหนีบสีดำคล้ำ ผิวหนังหนาคล้ายกำมะหยี่
- ผู้ที่มีอาการสั่น กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว หงุดหงิด สับสน หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ตาพร่ามัว มีปัญหาในการมองเห็น พูดไม่ชัด เป็นลม ชักเกร็ง หมดสติ
ตรวจเบาหวาน ตรวจอะไรบ้าง
แพทย์จะตรวจเบาหวานโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และเจาะเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือพลาสมากลูโคสในเลือด ด้วยวิธีการเจาะเลือดที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting plasma glucose test: FPG)
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร เป็นการเจาะเลือดจากปลายนิ้วหลังอดอาหารและน้ำมาแล้วอย่างน้อย 8 ชม. เพื่อตรวจวัดระดับกลูโคสในพลาสมา
- ระดับน้ำตาลในเลือดระหว่าง 70-99 Mg/dL หมายถึง มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารอยู่ในระดับปกติ
- ระดับน้ำตาลในเลือดระหว่าง 100-125 Mg/dL หมายถึง มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารผิดปกติ มีภาวะก่อนเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับหรือมากกว่า 126 Mg/dL หมายถึง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวาน แพทย์จะให้ตรวจซ้ำในวันหรือสัปดาห์ถัดไป หากผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับหรือมากกว่า 126 Mg/dL ถือว่าเป็นเบาหวาน
การตรวจ A1C หรือ HbA1c (A1C test/ HbA1c test)
การตรวจ A1C หรือ HbA1c เป็นการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดจากปลายนิ้วหรือจากหลอดเลือดดำที่ข้อพับแขน เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือดตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยวัดระดับฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ถูกจับเกาะด้วยน้ำตาลกลูโคส โดยไม่ต้องอดอาหารและสามารถตรวจเวลาใดก็ได้
- ค่าช่วง A1C น้อยกว่า 5.7 mg% หมายถึง มีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดระดับปกติ
- ค่าช่วง A1C ระหว่าง 5.7-6.4 mg% หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน
- ค่าช่วง A1C เท่ากับหรือมากกว่า 6.5 mg% หมายถึง เป็นเบาหวาน
การตรวจระดับน้ำตาลหลังกลืนน้ำตาลกลูโคส (Oral glucose tolerance test: OGTT)
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังกลืนน้ำตาลกลูโคส เป็นการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดที่ข้อพับแขนก่อนและหลังกลืนน้ำตาลกลูโคส หลังอดอาหารและน้ำมาแล้วอย่างน้อย 8 ชม. โดยการกลืนน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังหลังกลืนน้ำตาลกลูโคสไปแล้ว 2 ชม.
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังกลืนน้ำตาลกลูโคส น้อยกว่า 140 Mg/dL หมายถึง มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับปกติ
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังกลืนน้ำตาลกลูโคสระหว่าง 140-199 Mg/dL หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังกลืนน้ำตาลกลูโคสเท่ากับหรือมากกว่า 200 Mg/dL หมายถึง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวาน แพทย์จะให้ตรวจซ้ำในสัปดาห์ถัดไป หากผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับหรือมากกว่า 200 Mg/dL ถือว่าเป็นเบาหวาน
ผลการตรวจเบาหวาน
ผลการตรวจเบาหวานจะแสดงค่าน้ำตาลในเลือดที่ชี้วัดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน ภาวะก่อนเบาหวาน หรือโรคเบาหวานที่ยังไม่แสดงอาการ รวมถึงภาวะอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรคเบาหวาน ดังนี้
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ผลการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับหรือมากกว่า 126 Mg/dL หมายถึง
- มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน
- เป็นโรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และเป็นเบาหวาน
ผลการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 Mg/dL และเป็นเบาหวาน อาจมีสาเหตุจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ผลข้างเคียงจากการทานยาเบาหวานบางชนิด
- ทานอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหลังทานยารักษาเบาหวาน
- การออกกำลังกายมากเกินไป
ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ไม่ได้เป็นเบาหวาน
ผลการตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 Mg/dL แต่ไม่ได้เป็นเบาหวาน อาจเป็นสัญญาณของโรคบางโรค เช่น
- โรคตับ
- โรคไต โรคต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
- โรคพิษสุรา
- ภาวะอินซูลินสูงผิดปกติ
ผลการตรวจเป็นเบาหวาน ต้องทำอย่างไร
เมื่อได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน แพทย์จะวางแผนการรักษาและให้คำแนะนำดังต่อไปนี้
- แพทย์จะให้ยาเพื่อลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และค่อย ๆ ปรับขนาดยาให้เหมาะสม
- ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์จะทำนัดให้เข้ามาตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ
- แพทย์จะให้คำแนะนำวิธีการสังเกตตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- แพทย์จะให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคเบาหวาน เพื่อให้สามารถจัดการและควบคุมโรคเบาหวานได้
ตรวจเบาหวาน ใช้เวลากี่วัน
ทั้งการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร การตรวจ A1C และการตรวจระดับน้ำตาลหลังกลืนกลูโคส เป็นการตรวจเบาหวานที่มีความสะดวก รวดเร็ว และใช้เวลาในการตรวจเพียง 2-3 ชม. ก็สามารถรับผลการตรวจได้ โดยแพทย์จะรายงานผลการตรวจ วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลต่อไป
เบาหวาน รักษาหายไหม
โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจพบภาวะก่อนเบาหวาน หรือเบาหวานระยะแรกเริ่มได้เร็ว จะช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาเพื่อลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการปรับพฤติกรรม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้โรคเบาหวานเข้าสู่ระยะสงบได้เร็วจนกระทั่งสามารถควบคุมและจัดการโรคได้ด้วยการทานอาหารและการออกกำลังกายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกต่อไป
ตรวจเบาหวาน รพ. เมดพาร์ค
คลินิกต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลเมดพาร์ค กรุงเทพ ประเทศไทย นำโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคเบาหวานและโรคของต่อมไร้ท่อ ร่วมกับแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคอ้วนที่มีประสบการณ์การรักษาโรคเบาหวานทุกชนิด โรคต่อมไร้ท่อ โรคต่อมหมวกไต โรคต่อมไทรอยด์ หรือโรคต่อมใต้สมองที่มีความยากซับซ้อน โดยการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัยระดับสากล ทั้งเครื่องตรวจระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องเจาะเลือด เครื่องจ่ายอินซูลินแบบต่อเนื่อง เทคโนโลยีติดตามระดับน้ำตาลระยะไกล หรือระบบเตือนเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงรุนแรง เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที พร้อมด้วยทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และนักโภชนาการที่ให้การรักษาร่วมกันแบบบูรณาการเป็นองค์รวม เพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายการรักษาเบาหวาน สามารถลดและควบคุมระดับน้ำตาล และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ช่วยให้ผู้รับการรักษาสามารถควบคุมและจัดการกับโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ