หลาย ๆ ท่านคงเคยสังเกตว่าลูกหลานของท่านมีอาการจาม น้ำมูกใส ๆ คันจมูก คัดจมูก หรือคันตา ในช่วงหัวค่ำหรือหลังจากตื่นนอนตอนเช้า ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นหวัดอีกแล้วหรือว่าทำไมถึงเป็นหวัดบ่อยจัง ซึ่งอาการดังกล่าวอาจจะไม่ได้เกิดจากการเป็นหวัดเพียงอย่างเดียว สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เด็กมีอาการดังกล่าวและพบได้บ่อย ได้แก่ โรคแพ้อากาศ และโรคภูมิแพ้ของเยื่อบุตาขาว เป็นต้น เพื่อให้ทุกท่านสามารถสังเกตได้ชัดเจนมากขึ้นว่าอาการดังกล่าวเกิดจากโรคหวัดหรือโรคภูมิแพ้กันแน่ วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคแพ้อากาศกันนะครับ
โรคแพ้อากาศ
โรคแพ้อากาศหรือโรคเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้คือ โรคที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้บริเวณเยื่อบุโพรงจมูก และทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่บริเวณดังกล่าว ในปัจจุบันโรคแพ้อากาศเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบได้บ่อยที่สุด อัตราการเป็นโรคดังกล่าวอาจสูงถึงร้อยละ 50 ในประชากรเด็กไทย อย่างไรก็ตามเรามักพบโรคแพ้อากาศร่วมกับโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ด้วย ได้แก่ โรคเยื่อบุตาขาวอักเสบภูมิแพ้ หรือโรคหืด เป็นต้น
อาการของโรคแพ้อากาศ
เด็กที่เป็นโรคแพ้อากาศจะมีอาการคันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา และมีน้ำตาไหล อาการเหล่านี้มักเป็นเรื้อรัง เด็กส่วนใหญ่จะมีอาการมากในช่วงหัวค่ำหรือเช้ามืด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะอากาศในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างเย็น และเด็กอาจมีอาการนอนกรนเสียงดังผิดปกติร่วมด้วย อาการของโรคแพ้อากาศมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไปในเด็กแต่ละคน ตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการมากที่ก่อให้เกิดความรำคาญและมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
โรคนี้จะเป็นในเด็กหรือผู้ใหญ่
สามารถพบโรคแพ้อากาศได้ในผู้ป่วยทุกเชื้อชาติและทุกอายุ แต่มักจะไม่ค่อยพบโรคนี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเนื่องจากเด็กจะแสดงอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ๆ ได้มักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี ภายหลังการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น ๆ ทำให้ส่วนใหญ่เด็กจะเริ่มแสดงอาการในวัยเรียนหรือวัยรุ่น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบโรคแพ้อากาศในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีมากขึ้น ซึ่งมลพิษทางอากาศอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เด็กอายุดังกล่าวแสดงอาการของโรคแพ้อากาศได้เร็วขึ้น
โรคแพ้อากาศต่างจากโรคไข้หวัดอย่างไร
โรคไข้หวัดเป็นโรคในกลุ่มโรคติดเชื้อ ฉะนั้นเด็กมักจะมีอาการร่วมอื่น ๆ นอกจากอาการน้ำมูกไหลที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อภายในร่างกายด้วย ได้แก่ อาการไข้ ไอ เจ็บคอ ร่วมกับสีของน้ำมูกหรือเสมหะเป็นสีเขียวหรือเหลือง ในขณะที่เด็กที่เป็นโรคแพ้อากาศจะไม่มีอาการดังกล่าวข้างต้น และมักจะมีน้ำมูกใส ๆ ร่วมกับอาการคันหรือเคืองตา
ความรุนแรงของโรคแพ้อากาศ
โดยทั่วไปโรคแพ้อากาศไม่ได้ทำอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่ถ้าเด็กไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่ โรคโพรงไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคต่อมอะดีนอยด์อักเสบ รวมถึงทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในอวัยวะอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง ได้แก่ โรคภูมิแพ้ของเยื่อบุตาขาว หรือโรคหืด เป็นต้น รวมถึงเด็กจะมีผลการเรียนที่ตกต่ำหรือไม่ร่าเริงจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอได้
สารก่อภูมิแพ้ที่พบเป็นสาเหตุของโรคแพ้อากาศได้บ่อยคืออะไร
ไรฝุ่นและอุจจาระของไรฝุ่น เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยของเด็กที่เป็นโรคแพ้อากาศ รวมถึงโรคหืดและโรคเยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ สามารถพบไรฝุ่นได้บ่อยบริเวณที่นอน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้านวม ตุ๊กตา พรม หรือบริเวณที่มีอากาศเย็นและความชื้นที่เหมาะสม ได้แก่ ห้องนอน ห้องรับแขก เป็นต้น
วิธีการควบคุมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น
วิธีการควบคุมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นสามารถทำได้ดังนี้
- การซักล้าง เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ได้แก่ อุจจาระของไรฝุ่นนั้นจัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สามารถละลายได้ในน้ำ ดังนั้นการชักล้างเครื่องนอนด้วยน้ำที่อุณหภูมิใด ๆ จะสามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้เป็นส่วนใหญ่แต่ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ พบว่าการซักล้างเครื่องนอนด้วยน้ำที่อุณหภูมิประมาณ 55-60 องศาเซลเซียส เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ ดังนั้นจึงควรซักล้างเครื่องนอนด้วยน้ำที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นประจำอย่างน้อยทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ เพื่อที่จะสามารถกำจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นและฆ่าตัวไรฝุ่นได้
- การคลุมเครื่องนอน การคลุมเครื่องนอนด้วยผ้าคลุมป้องกันไรฝุ่นสามารถลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ โดยป้องกันการฟุ้งกระจายของสารดังกล่าวจากที่นอน หมอน หรือผ้านวม เป็นต้น ควรเลือกซื้อผ้าคลุมป้องกันไรฝุ่นชนิดเนื้อผ้าทอแน่น โดยที่รูระหว่างเส้นใยผ้ามีขนาดเล็กพอที่จะป้องกันการลอดผ่านของตัวไรฝุ่นที่มีขนาด 300 ไมครอน หรือสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ได้แก่ อุจจาระของไรฝุ่นที่มีขนาด 10-40 ไมครอน ได้
- การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ สามารถลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ โดยการฉีดล้างสารดังกล่าวที่ตกค้างภายในโพรงจมูก เป็นวิธีการรักษาโรคแพ้อากาศที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการรับประทานยาหรือการใช้ยาพ่นจมูก
- การใช้เครื่องฟอกอากาศ เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นมีปริมาณสูงเฉพาะที่ (ที่นอน หมอน) และฟุ้งกระจายเมื่อมีแรงมากระทบเท่านั้น และจากการที่สารดังกล่าวมีอนุภาคขนาดใหญ่จึงทำให้ตกลงสู่พื้นภายในเวลา 5 นาทีหลังการฟุ้งกระจาย ดังนั้นการใช้เครื่องฟอกอากาศดักจับในระยะห่างจึงได้ผลน้อย แต่สารก่อภูมิแพ้ประเภทอื่น ๆ ได้แก่ เกสรดอกหญ้า สปอร์ของเชื้อรา หรือขนสุนัข ขนแมว เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่มีอนุภาคขนาดเล็กสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานจึงสามารถดักจับได้ดีโดยเครื่องฟอกอากาศ
- การปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้าน พบว่าพรมเป็นแหล่งสะสมสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้านที่สำคัญ โดยเฉพาะตัวไรฝุ่นที่ชอบอาศัยอยู่ตามเส้นใยของพรม ในปัจจุบันยังไม่พบวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นภายในพรมให้หมดไปได้ นอกจากการรื้อถอนเอาพรมออก นอกจากนั้นการเช็ดถูทำความสะอาดห้องนอนด้วยผ้าเปียกจะสามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้มากกว่าการเช็ดถูด้วยผ้าแห้ง และควรจัดห้องนอนให้โล่งโปร่ง แสงแดดส่องถึง ไม่ควรเก็บสิ่งของหรือหนังสือที่เป็นอาจเป็นแหล่งสะสมสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นภายในห้องนอน และเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ของใช้ ของเล่นเด็กและตุ๊กตาไม่ควรเป็นชนิดมีเส้นใย
แนวทางการรักษาโรคแพ้อากาศ
แนวทางการรักษาโรคแพ้อากาศที่สำคัญคือ
- 1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เด็กแพ้ กรณีที่ไม่ทราบชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่เด็กแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดหรือทำการทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวหนัง
- 2. ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาโรคแพ้อากาศ ได้แก่
- ยารักษาภูมิแพ้ชนิดรับประทาน
- ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล หรืออาการคันตา ยาต้านฮิสตามีนในปัจจุบันมีพัฒนาการที่ดี สามารถรับประทานวันละ 1 ครั้ง และไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึมระหว่างวัน ยามีทั้งในรูปแบบของยาเม็ดและยาน้ำทำให้สะดวกในการเลือกใช้กับเด็กในแต่ละช่วงอายุ
- ยาต้านลิวโคไตรอิน (Antileukotriene) ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการต้านการออกฤทธิ์ของสารลิวโคไตรอิน ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาจากเซลล์ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก มักใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับยาต้านฮีสตามีนและยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกในการรักษาเด็กที่มีอาการของโรคแพ้อากาศอย่างรุนแรง ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล รวมถึงอาการคัดจมูก และสามารถเลือกใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่อาจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก
- ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติรักษาโรคแพ้อากาศที่พยาธิสภาพของโรคโดยตรง เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นสามารถช่วยลดอาการของเด็กได้เหมือนกับยารักษาภูมิแพ้ชนิดรับประทาน แต่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือ สามารถช่วยลดอาการคัดแน่นจมูกของเด็กได้ด้วย และผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกนั้นน้อยมาก เนื่องจากเป็นการใช้ยาในเฉพาะบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกที่มีการอักเสบ ซึ่งต่างจากยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานที่สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงกับเด็กในอวัยวะอื่น ๆ ได้
- ยารักษาภูมิแพ้ชนิดรับประทาน
วิธีการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก
- เขย่าขวดก่อนใช้ยา เปิดฝาครอบออก
- กรณีเปิดใช้ยาครั้งแรกต้องกดไล่อากาศออกจากขวดยาประมาณ 3-5 ครั้ง จนกระทั่งยาถูกพ่นออกมาในลักษณะที่เป็นละอองฝอยละเอียด กรณีที่ไม่ได้ใช้ยานานกว่า 2 สัปดาห์ ควรเขย่าขวดแล้วพ่นยาทิ้ง 1 ครั้ง เพื่อเป็นการปรับหัวสเปรย์
- ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือก่อนการใช้ยาพ่นจมูกทุกครั้ง และเช็ดรูจมูกให้สะอาดก่อนพ่นยา
- จับขวดยาตั้งขึ้น โดยให้นิ้วชี้และนิ้วกลางอยู่ที่บริเวณไหล่ขวด ส่วนนิ้วหัวแม่มืออยู่ที่ก้นขวด ใส่หัวสเปรย์เข้าไปในรูจมูกและให้หัวสเปรย์ชี้ไปทางหัวตาข้างเดียวกัน ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อให้ยาถูกพ่นเข้าสู่โพรงจมูก โดยใช้มือข้างขวาสำหรับการพ่นยาเข้าสู่โพรงจมูกด้านซ้าย และใช้มือข้างซ้ายสำหรับการพ่นยาเข้าสู่โพรงจมูกด้านขวา
- หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกประมาณ 15 นาที ภายหลังการพ่นยา
- หลังจากการใช้งานให้ปิดฝาครอบขวดไว้อย่างเดิม
- หลีกเลี่ยงการกลืนน้ำลายและควรบ้วนปากภายหลังการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกทุกครั้ง
- ยาลดอาการคัดจมูกชนิดรับประทานหรือชนิดหยอดหรือพ่น ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการลดอาการคัดจมูกเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติในการลดอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล หรืออาการคันตา และไม่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก การใช้ยาในรูปแบบของยาหยอดหรือพ่นสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยา ได้แก่ อาการกระวนกระวาย ใจสั่น เป็นต้น
- การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการฉีดล้างหรือหยอดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูก เป็นวิธีการรักษาที่สำคัญในเด็กที่เป็นโรคแพ้อากาศ ประโยชน์ของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ได้แก่
- ช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น
- ช่วยชะล้างน้ำมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง
- ช่วยลดจำนวนเชื้อโรคในโพรงจมูก
- ช่วยระบายหนองออกจากโพรงไซนัส
- ข่วยให้ความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการระคายเคืองในโพรงจมูก
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก
- น้ำเกลือปลอดเชื้อ
- น้ำเกลือที่เตรียมเอง สามารถเตรียมโดยใช้น้ำต้มสุกหรือน้ำสะอาดสำหรับดื่มปริมาตร 750 ซีซี ผสมกับเกลือแกงปริมาณ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากันดีก่อนนำไปใช้
- กระบอกฉีดยาสำหรับล้างจมูกขนาด 35 ซีซี
วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
- เทน้ำเกลือปลอดเชื้อใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาสำหรับล้างจมูกดูดน้ำเกลือจนเต็มกระบอก
- ยืนหรือนั่งโดยโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยเหนือต่ออ่างล้างหน้าหรือภาชนะบรรจุน้ำ แนบจุกยางที่หุ้มปลายกระบอกฉีดยาเข้ากับรูจมูก โดยปิดรูจมูกให้สนิท
- กลั้นหายใจ พร้อมกับค่อย ๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกจนน้ำเกลือไหลออกมาจากโพรงจมูกอีกข้างหนึ่ง โดยใช้เวลาประมาณ 10 วินาทีต่อการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือปริมาตร 35 ซีซี
- สั่งน้ำมูกเบา ๆ ออกจากโพรงจมูกทั้ง 2 ข้าง บ้วนน้ำเกลือและน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้ง
- ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งในโพรงจมูกแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกไหลออกมาหรือไม่มีอาการคัดจมูกแล้ว โดยให้ล้างโพรงจมูกสลับข้างขวาและซ้าย และหลีกเลี่ยงการล้างโพรงจมูกข้างใดข้างหนึ่งซ้ำกันหลาย ๆ ครั้งเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการปวดหูได้
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรฉีดล้างน้ำเกลือด้วยความแรงเข้าไปในโพรงจมูก
- ควรสั่งน้ำมูกเบา ๆ ภายหลังการล้างจมูก
- ไม่ควรล้างจมูกด้วยวิธีฉีดล้างกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือเพราะอาจทำให้เกิดการสำลักน้ำเกลือได้
- ควรใช้น้ำเกลือที่เตรียมเองภายใน 2 ชั่วโมงหลังการเตรียม
- ไม่ควรใช้น้ำเปล่าหรือน้ำต้มสุกในการล้างจมูก เนื่องจากน้ำดังกล่าวไม่มีความเข้มข้นที่เหมาะสมกับเยื่อบุโพรงจมูก
- ไม่ควรล้างจมูกในขณะที่จมูกมีเลือดออกได้ง่าย หรือในกรณีที่แพทย์ไม่แนะนำให้ล้างจมูก
วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ล้างจมูก
- ล้างกระบอกฉีดยาสำหรับล้างจมูกหลังการใช้ทุกครั้งด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างจาน แล้วล้างด้วยน้ำประปาจนสะอาดและนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม
- ไม่ควรต้มหรือลวกกระบอกฉีดยาสำหรับล้างจมูกด้วยน้ำร้อน เพราะจะทำให้อุปกรณ์ชำรุดได้
ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน
- ควรล้างจมูกอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ภายหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน
- ควรล้างจมูกเมื่อมีอาการน้ำมูกข้นหรือคัดจมูก
- ควรล้างจมูกก่อนการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกทุกครั้ง
การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่
การล้างจมูกที่ถูกวิธีจะไม่ทำอันตรายต่อเด็กควรล้างจมูกในขณะท้องว่าง หรือภายหลังรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลักอาหารขณะล้างจมูก
- 3. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โรคแพ้อากาศส่วนใหญ่รักษาไม่หายขาด เด็กอาจจะมีอาการกลับเป็นซ้ำได้บ่อยหากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตามหากเด็กสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถดำเนินชีวิตและเรียนหนังสือได้ตามปกติเหมือนเด็กแข็งแรงทั่ว ๆ ไป
บทความโดย
นพ.ปรีดา สง่าเจริญกิจ
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน
ประวัติแพทย์ คลิก