เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ปวดท้องน้อย มีสาเหตุจากอะไร?
- ปวดท้องน้อย มีอาการอย่างไร?
- ปวดท้องน้อย มีวิธีการวินิจฉัยอย่างไร?
- ปวดท้องน้อย มีวิธีการรักษาอย่างไร?
- ปวดท้องน้อย มีวิธีการป้องกันอย่างไร?
- ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดท้องน้อย คืออะไร?
ปวดท้องน้อย (Pelvic pain)
ปวดท้องน้อย (Pelvic pain) คือ อาการปวดท้องส่วนล่างตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปจนถึงหัวหน่าว อาการปวดท้องน้อยเกิดจากหลายสาเหตุทั้งจากโรคทั่วไป เช่น ท้องผูก อาหารเป็นพิษ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จนถึงภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น ไส้ติ่งอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือเลือดออกในช่องท้อง อาการปวดท้องน้อยเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและชาย อาจปวดแบบเฉียบพลันหรือปวดแบบเรื้อรังโดยมีระดับความปวดแตกต่างกันตามสาเหตุ อาการปวดท้องน้อยทั่วไปในสตรี เช่น ปวดประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ อาการปวดท้องน้อยทั่วไปในบุรุษ เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือต่อมลูกหมากโต ผู้ที่มีอาการปวดท้องน้อยรุนแรงต่อเนื่อง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการ
ปวดท้องน้อย มีสาเหตุจากอะไร?
อาการปวดท้องน้อยเกิดจากหลายสาเหตุ โดยมักเกิดจากจากโรคหรือภาวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย 4 ระบบ ได้แก่ ระบบสืบพันธุ์ ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ หรือระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โดยรวมถึงเส้นประสาทและเส้นเอ็นบริเวณอุ้งเชิงกราน อาการปวดท้องน้อยมีสาเหตุจากโรคหรือภาวะในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
- โรคในระบบสืบพันธุ์สตรี เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก ก้อนเนื้องอกที่ปีกมดลูก ถุงน้ำรังไข่ ช็อกโกแลตซีสต์ เนื้องอกรังไข่ พังผืดในอุ้งเชิงกราน ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ มดลูกอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะปวดปากช่องคลอดเรื้อรัง เส้นเลือดโป่งพองในอุ้งเชิงกราน มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก
- ภาวะทั่วไปในระบบสืบพันธุ์สตรี เช่น ปวดประจำเดือน การตกไข่ กลุ่มอาการ PMS การตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือการแท้งบุตร
- โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ นิ่วในไต การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อในไต โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- โรคในระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก ลำไส้อุดตัน ลำไส้แปรปรวน ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ ไส้เลื่อน อาหารเป็นพิษ โรคบิด ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร มะเร็งลำไส้
- โรคในระบบกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) หรือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อแบบเรื้อรัง ข้อต่อกระดูกอุ้งเชิงกรานอักเสบ กล้ามเนื้อฉีกขาด
- ภาวะทั่วไปในระบบสืบพันธุ์เพศชาย เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ ต่อมลูกหมากโต ไส้เลื่อน อัณฑะบิดตัว
ปวดท้องน้อย มีอาการอย่างไร?
อาการปวดท้องน้อยขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและตำแหน่งของอวัยวะที่ปวด อาจมีอาการปวดแบบตื้อ ๆ ปวดเสียด ปวดแปล๊บ ๆ ปวดจี๊ด ๆ หรือปวดเกร็ง อาจปวดแบบเฉียบพลันหรือปวดแบบเรื้อรัง มีระดับความปวดตั้งแต่ปวดไม่รุนแรง ปวดปานกลาง ไปจนถึงปวดรุนแรง อาจปวดแบบคงที่ ปวดขณะปัสสาวะ หรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ และมักมีตำแหน่งปวดที่บริเวณท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกรานและ/หรือปวดร้าวไปที่หลัง เอว สะโพก ต้นขา หรือขาหนีบ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วม
ปวดท้องน้อยตรงกลาง ตรงตำแหน่งระบบทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ไส้เลื่อน
- ปวดเกร็งขณะมีประจำเดือน อาจมีสาเหตุจากอาการมดลูกผิดปกติ เนื้องอกมดลูก หรือมีเนื้อตายในมดลูก
- ปวดท้องน้อย มีตกขาว มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีไข้สูง อาจเกิดจากมดลูกอักเสบหรือการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- ปวดท้องน้อยตรงกลางเหนือหัวหน่าว ปวดแสบขณะปัสสาวะ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะมีสีขุ่น หรือปัสสาวะปนเลือดอาจเกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ปวดท้องน้อยหน่วง ๆ ปวดหลัง พร้อมกัน ปวดด้านข้าง ร่วมกับมีไข้ อาจเกิดการติดเชื้อในไต
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวด ๆ หาย ๆ หรือคลำพบได้ก้อนตรงกลางท้องน้อยอาจเกิดจากมดลูกอักเสบ เนื้องอกมดลูก
- ปวดท้องน้อย เหน็บชาบริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะอาจเป็นพังผืดกดทับเส้นประสาท
- ปวดท้องน้อยหน่วง ๆ ตรงกลาง แน่นท้อง ปวดแปล๊บขณะก้มตัวหรือยกของหนัก คลำพบได้ก้อนบริเวณที่ปวดอาจเป็นไส้เลื่อน
ปวดท้องน้อยด้านซ้าย ตรงตำแหน่งปีกมดลูกซ้าย ท่อไต รังไข่ซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ปวดเกร็งท้องน้อยซ้ายเป็นระยะร้าวลงต้นขา อาจเป็นอาการนิ่วในท่อไต หรือกรวยไตอักเสบ
- ปวดท้องน้อยซ้ายหน่วง ๆ ในผู้หญิง มีตกขาว มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่นอาจเป็นอาการปีกมดลูกซ้ายอักเสบ
- ปวดท้องน้อยซ้าย ปวดบีบ ปวดเกร็งที่ท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดอุจจาะบ่อย ๆ อาจเป็นลำไส้อักเสบ
- ปวดท้องน้อยจี๊ด ๆ เป็น ๆ หาย ๆ คลื่นไส้ร่วมกับมีไข้ อาจเป็นลำไส้อักเสบเฉียบพลับ
- ปวดท้องน้อยซ้าย ถ่ายอุจจาระปนเลือด อุจจาระปนมูกเลือด ท้องผูกเป็นประจำ ท้องผูกสลับท้องเสีย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด คลำพบได้ก้อนที่ท้องอาจเป็นเนื้องอกลำไส้ (ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย) ที่อาจพัฒนาไปเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต
ปวดท้องน้อยด้านขวา ตรงตำแหน่งปีกมดลูกขวา ท่อไต รังไข่ขวา ไส้ติ่ง
- ปวดเกร็งท้องน้อยขวาเป็นระยะร้าวลงต้นขา อาจเป็นอาการของนิ่วในท่อไต หรือกรวยไตอักเสบ
- ปวดมวนท้องน้อย ถ่ายไม่ออก ถ่ายลำบาก แน่นท้อง ท้องอืด อึดอัดท้อง และปวดเกร็งท้องอาจเป็นท้องผูก
- ปวดจุกแน่นรอบสะดือแล้วย้ายลงมาปวดที่ท้องน้อยขวาล่าง ปวดเสียด ปวดบีบ กดเจ็บมากที่ท้องน้อยขวาอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดท้องน้อยด้านขวาหน่วง ๆ ในผู้หญิง มีตกขาว มีกลิ่นเหม็น มีไข้สูงและหนาวสั่นอาจเป็นอาการปีกมดลูกขวาอักเสบ
- ปวดท้องน้อยด้านขวา ปวดหน่วง ท้องอืด แน่นท้อง คลำได้ก้อนที่ท้องน้อยขวาอาจมีความผิดปกติที่รังไข่ หรือไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดท้องน้อยด้านขวา จี๊ด ๆ ผู้หญิง อาจเป็นอาการก่อนหรือหลังมีประจำเดือน การตกไข่ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ปวดท้องน้อย มีวิธีการวินิจฉัยอย่างไร ?
แพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการปวดท้องน้อยด้วยการซักประวัติ ตำแหน่งที่ปวด ลักษณะอาการปวด ความถี่ในการปวด และระยะเวลาในการปวด รวมถึงอาการร่วมอื่น ๆ จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายตรงตำแหน่งที่ปวดเพื่อหาอาการกดเจ็บรวมถึงการตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจเฉพาะทางอื่น ๆ ที่ลึกขึ้น ดังนี้
- การตรวจอัลตราซาวด์ท้องส่วนล่าง (Lower abdominal ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสะท้อนไปที่อวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้องส่วนล่าง ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ท่อไต ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และไส้ติ่งแล้วแปลงเป็นสัญญาณภาพเพื่อช่วยให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติภายในช่องท้องส่วนล่างเพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรค รวมถึงวางแผนรักษาและให้การรักษาได้อย่างตรงจุด ในบางราย แพทย์อาจพิจารณาการตรวจอัลตราซาวน์ท้องส่วนบน (Upper abdominal ultrasound) ร่วมด้วย
- การตรวจภายใน และอัลตราซาวด์ช่องคลอด (Pelvic exam and Transvaginal ultrasound) เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานสตรีโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางหน้าท้องเพื่อให้เห็นภาพอวัยวะภายใน เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ มดลูก ปากมดลูก เพื่อตรวจหาก้อนเนื้อ ซีสต์ ถุงน้ำรังไข่ เนื้องอก หรือมะเร็ง รวมถึงความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด ปวดอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวมากผิดปกติ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรืออาจกำลังตั้งครรภ์
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy) เป็นการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยแพทย์จะทำการการสอดท่อขนาดเล็กที่โค้งงอได้ ส่วนปลายติดเลนส์และสายใยแก้วนำแสง ผ่านทางทวารหนักไปตามความยาวของลำไส้ใหญ่เพื่อค้นหาติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็ง โดยหากตรวจพบ แพทย์จะทำการกำจัดติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อนั้นออกทันที การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนักถือเป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากเป็นทั้งการตรวจและการรักษาในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ แพทย์อาจพิจารณาการตรวจเฉพาะทางอื่น ๆ เพื่อช่วยยืนยันตำแหน่งของอวัยวะภายในที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บปวด เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การทำ MRI การตรวจ PET/CT หรือ การตรวจการตั้งครรภ์
ปวดท้องน้อย มีวิธีการรักษาอย่างไร ?
แพทย์จะทำการรักษาอาการปวดท้องน้อยจากผลการวินิจฉัยโรคและตำแหน่งของอวัยวะภายในที่เป็นสาเหตุของอาการปวดโดยแพทย์อาจพิจารณาการรักษาร่วมกันกับทีมแพทย์เฉพาะทาง เช่น แพทย์ระบบทางเดินอาหาร สูตินรีแพทย์ แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ หรือแพทย์ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก และรวมถึงนักกายภาพบำบัด การรักษาอาการปวดท้องน้อยมีวิธีการดังนี้
- การรักษาด้วยการให้ยา (Medications) แพทย์อาจพิจารณาการรักษาอาการปวดท้องน้อยด้วยการให้ยาทั้งชนิดฉีดหรือชนิดรับประทาน ได้แก่ กลุ่มยาแก้ปวดชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ NSAIDS เช่น Ibuprofen, Naproxen กลุ่มยาฮอร์โมนคุมกำเนิด เช่น Progestin หรือกลุ่มยาฮอร์โมนแอนโดรเจน เช่น Danazol ให้กับผู้ที่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซีสต์รังไข่ หรือปวดประจำเดือนเพื่อบรรเทาหรือรักษาอาการปวดให้หาย สำหรับในผู้ที่มีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) หรือผู้ที่ติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการ
- การผ่าตัด (Surgery) แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดสำหรับอาการปวดท้องน้อยรุนแรงที่มีสาเหตุจาก เนื้องอกมดลูก ซีสต์รังไข่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน (Pelvic organ prolapse) โดยวิธีการผ่าตัดสามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ
- 2.1 การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง (Open Abdominal Surgery) ในผู้ที่มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่กดเบียดอวัยวะข้างเคียง
- 2.2 การผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic surgery) แบบแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว (MIS) เพื่อช่วยลดการเสียเลือด ร่นระยะการพักฟื้น และลดอาการปวดหลังการผ่าตัด
- การทำกายภาพบำบัด (Physical therapy) แพทย์อาจพิจารณาการทำกายภาพบำบัดสำหรับอาการปวดท้องน้อยที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เพื่อบำบัดรักษาอาการปวดกร็งกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปรวมถึงบริเวณอุ้งเชิงกรานที่ทำหน้าที่รองรับอวัยวะภายใน เช่น กระดูกหัวหน่าว กระเพาะปัสสาวะ มดลูก ปีกมดลูก หรือลำไส้
ปวดท้องน้อย มีวิธีการป้องกันอย่างไร ?
อาการปวดท้องน้อยบางสาเหตุสามารถป้องกันได้ เช่น การทานอาหารปรุงสุกใหม่เพื่อป้องกันอาหารเป็นพิษ หรือการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม อาการปวดท้องน้อยหลายสาเหตุไม่สามารถป้องกันได้ เมื่อพบความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียด วิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดท้องน้อย ได้แก่
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ๆ
- ทานอาหารที่มีกากใยสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดท้องน้อยจากสาเหตุท้องผูก หรือโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อแข็งแรงอยู่เสมอ
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ อบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกายทุกครั้งเพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการปวดเกร็งท้องน้อย
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อช่วยให้แพทย์ค้นหาความเสี่ยงโรคหรือความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน และช่วยให้ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดท้องน้อย คืออะไร ?
อาการปวดท้องน้อยเฉียบพลันหรือเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ภาวะแทรกซ้อนจากอาการปวดท้องน้อย เช่น
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝี หรือหนองสะสมในอวัยวะระบบสืบพันธุ์สตรีที่อาจส่งผลเสียต่อท่อนำไข่ รังไข่ มดลูก หรืออวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานที่หากปล่อยไว้อาจเกิดการติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
- ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) อาการไส้ติ่งอักเสบที่มีอาการปวดรุนแรงบริเวณท้องน้อยขวา เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หากไส้ติ่งอักเสบแตก อาจเกิดการแพร่กระจายภายในช่องท้องและเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) เกิดจากการที่อวัยวะภายในช่องท้องเกิดการอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรีย หรือเชื้อราจากหลายสาเหตุ เช่น กระเพาะอาหารทะลุ ลำไส้ทะลุ ปีกมดลูกอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูกที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ปวดท้องน้อยเรื้อรังไม่หาย สัญญาณอันตรายที่ควรรับการตรวจ
ผู้ที่มีอาการปวดท้องน้อยบ่อย ๆ ปวดท้องน้อยเรื้อรังไม่หาย ปวดท้องน้อยรุนแรงจนตัวงอไม่สามารถยืนตัวตรงได้ ผู้ที่ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะปนเลือด หรือผู้ที่ปวดท้องน้อยอย่างมากระหว่างการตั้งครรภ์ ควรรีบพบแพทย์ผู้ชำนาญการที่โรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยภายในช่องท้องอย่างละเอียดเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดท้องน้อย การเข้ารับการตรวจตั้งแต่เมื่อเริ่มพบความผิดปกติจะนำไปสู่การการรักษาได้อย่างทันท่วงที ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรง พร้อมสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่