ภาวะเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
ภาวะเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ Postcoital Bleeding (Bleeding After Sex) พบได้ในทุกช่วงวัยของสตรี โดยประมาณร้อยละ 9 ของสตรีวัยเจริญพันธุ์มักมีประวัติเคยมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่ของการมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์มักมีปริมาณไม่มากและอาจไม่ต้องกังวลมาก อย่างไรก็ตาม การที่มีอาการดังกล่าวหลาย ๆ ครั้ง หรือมีปริมาณมาก ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
ตำแหน่งและสาเหตุของภาวะเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
เลือดที่ออกหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดได้จากหลายตำแหน่ง ได้แก่ บริเวณแคมหรือปากช่องคลอด ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก หรือท่อปัสสาวะ โดยเลือดที่ออกอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ช่องคลอดแห้ง เนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดฉีกขาด ติ่งเนื้อ หรือแม้กระทั่งมะเร็ง
ช่องคลอดแห้ง, ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ ถ้าไม่ได้รับการกระตุ้นมากพอ ไม่มีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการเสียดสีของเนื้อเยื่อ สาเหตุอื่น ๆ ของช่องคลอดแห้งที่พบได้ เช่น
- การขาดฮอร์โมนเพศ การที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนน้อยลงทำให้ช่องคลอดแห้งและระคายเคืองได้ง่าย เช่น ในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะทางระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ (Genitourinary Syndrome of Menopause: GSM) โดยพบประมาณร้อยละ 63 ของสตรีวัยหมดประจำเดือน สตรีเพิ่งผ่านการคลอดบุตร กำลังให้นมบุตรอยู่ หรือได้รับการผ่าตัดนำรังไข่ออก
- ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
- รับประทานยาสำหรับอาการหวัดหรือหอบหืด ยาต้านเศร้า หรือยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน
- แพ้สารเคมีต่าง ๆ เช่น สบู่บางชนิด สระว่ายน้ำ ผงซักฟอก สวนล้างช่องคลอดบ่อยหรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
- โรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโจเกรน เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดเยื่อบุช่องคลอดฝ่อบาง อาการตาและปากแห้ง
การอักเสบหรือการติดเชื้อ: ภาวะการอักเสบของเนื้อเยื่อจะทำให้มีเส้นเลือดมาเลี้ยงบริเวณที่อักเสบมากขึ้น ทำให้เลือดออกได้ง่าย
ช่องคลอดฉีกขาด: การกระทบกระเทือนจากเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงอาจทำให้ช่องคลอดฉีกขาดได้
ภาวะปากมดลูกปลิ้น: ภาวะปากมดลูกด้านในปลิ้นออกมาด้านนอก (cervical eversion) เกิดจากมีเซลล์เยื่อบุบุผนังปากมดลูกด้านในซึ่งมีความบอบบางขยายรุกออกมาด้านนอก ทำให้เลือดออกได้ง่าย มักพบในสตรีที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน สตรีตั้งครรภ์ หรือวัยรุ่น
ติ่งเนื้อของปากมดลูก: ติ่งเนื้อปากมดลูกเป็นก้อนเนื้อที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือมีการอักเสบเรื้อรัง มักมีเส้นเลือดมาเลี้ยงบริเวณติ่งเนื้อมาก ทำให้เลือดออกได้ง่าย
มดลูกหย่อน: มดลูกรวมทั้งปากมดลูกที่หย่อนลงมาในช่องคลอดอาจทำให้มีเลือดออกได้ระหว่างหรือหลังการมีเพศสัมพันธ์
รอยโรคก่อนมะเร็งและมะเร็ง: ในระยะแรกของมะเร็งรวมทั้งรอยโรคก่อนมะเร็ง อาจมีอาการเลือดออกเมื่อมีการสัมผัสหรือกระทบกระเทือนจากการมีเพศสัมพันธ์
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์
- มีเลือดออกทางช่องคลอดบ่อย ๆ หรือมีปริมาณมากระหว่างหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
- เจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวผิดปกติหรือเรื้อรัง
- มีอาการคันหรือแสบเวลาปัสสาวะ
- เลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน
การตรวจวินิจฉัยภาวะเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
แพทย์จะให้การวินิจฉัยหลังทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายรวมทั้งตรวจภายใน อาจส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมตามความผิดปกติที่ตรวจพบ เช่น
- การส่งตรวจตกขาวหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ
- การตรวจเซลล์วิทยาของปากมดลูก (cytology/ Pap smear)
- การตัดชิ้นเนื้อบริเวณที่สงสัยว่าผิดปกติไปตรวจ (biopsy)
- การตรวจอื่น ๆ ตามความเหมาะสม เช่น การอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) การตรวจปัสสาวะ หรือการตรวจเลือด เป็นต้น
การรักษาและการป้องกันภาวะเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุที่พบและวิธีการป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ เช่น
- แนะนำให้รอจนประจำเดือนหมด 2-3 วัน ก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์
- แนะนำให้ใช้สารหล่อลื่น หรือฮอร์โมนและหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์รุนแรงหากช่องคลอดแห้ง
- รับประทานยาปฏิชีวนะในกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อ
- อาจทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ หากมีติ่งเนื้อปากมดลูก หรือสงสัยว่ามีรอยโรคก่อนมะเร็งหรือมะเร็ง
- การลดน้ำหนักตัวหรือการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise) เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงในกรณีที่พบมดลูกหย่อนที่ไม่รุนแรง หรือใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงในช่องคลอด หรือเข้ารับการผ่าตัดหากมีอาการรุนแรง
ทั้งนี้ สตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่ยังมีประจำเดือนควรจดบันทึกวันที่มีรอบเดือนอย่างสม่ำเสมอ สตรีทุกคนควรเข้ารับการตรวจภายในทุกปีและทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 25 ปี ขึ้นไป หรือเมื่อมีปัจจัยเสี่ยง