โรครูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบประเภทหนึ่ง เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อ สามารถเกิดขึ้นได้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอาการจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ มักมีอาการเริ่มแรกในข้อขนาดเล็กในมือหรือเท้าในหลาย ๆ ตำแหน่ง เช่น มือ ข้อมือ พร้อมกัน หลังจากนั้นอาจย้ายสูงขึ้นไปที่ข้อเข่าหรือไหล่ เนื้อเยื่อภายในข้อต่อที่ได้รับความเสียหายมานานนำไปสู่อาการปวดเรื้อรัง ทรงตัวลำบาก และอวัยวะผิดรูป ผู้ป่วยแต่ละคนจะเริ่มมีอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในช่วงอายุที่ต่างกัน และมีอาการ ความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนที่ต่างกันอีกด้วย
ปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์นั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีปัจจัย 2 ประเภทที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายไวต่อการเกิดโรค
- อายุ: คนทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สูงถึง 3 เท่า
- พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
ปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรค
ผู้ที่มีปัจจัยข้างต้นอาจไม่ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบจนกว่าจะสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ อันได้แก่
- การสูบบุหรี่
- ความเครียด
- การติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคปริทันต์อักเสบ
อาการของโรค
ในระยะแรกผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด และชาตามมือนานหลายสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มปวดตามข้อหรือข้อฝืดตึง
อาการปวดอาจเริ่มที่บริเวณข้อต่อเล็ก ๆ ก่อน เช่น ฐานนิ้วมือนิ้วเท้า และดําเนินต่อไปที่ข้อต่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นที่แขนหรือขา ผู้ป่วยมักมีอาการข้ออักเสบสมมาตร นั่นคือมีอาการในข้อต่อเดียวกันทั้ง 2 ข้าง โดยอาจรู้สึกปวดที่ข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง อาการที่พบบ่อยคืออาการปวด ข้อยึดตึง กดเจ็บ และบวมร้อน อาการข้อยึดตึงจะเป็นมากในตอนเช้าหรือหลังจากไม่เคลื่อนไหวร่างกายมาสักระยะ และมักปวดนานกว่า 1 ชั่วโมง
ในระยะแรกของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อต่อที่อวัยวะเหล่านี้มักจะเกิดอาการก่อน
- มือ: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักทำให้เกิดอาการกดเจ็บบริเวณข้อต่อของนิ้วมือและทำให้มือไม่มีแรงหยิบจับสิ่งของ อาการนิ้วและมือผิดรูป เช่น Boutonniere ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อข้ออักเสบเป็นเวลานาน
- ข้อมือ: งอข้อมือไปด้านหลังไม่ได้
- ข้อศอก: ข้อที่บวมจะไปกดทับเส้นประสาททำให้รู้สึกชาตามนิ้วมือ
- เท้า: รู้สึกกดเจ็บบริเวณโคนนิ้วเท้า ทำให้ผู้ป่วยลงน้ำหนักตัวที่ส้นเท้าแทน
- ข้อเท้า: เส้นประสาทที่ถูกกดทับจากการอักเสบบริเวณข้อเท้าทำให้ชาที่เท้า
- หัวเข่า: งอเข่าไม่ได้ เอ็นรองหัวเข่าหลวมและกระดูกหัวเข่าอาจเสียดสีกัน ทำให้เกิดภาวะถุงน้ำหลังหัวเข่า
ในระยะต่อมาอาการจะเริ่มลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดังต่อไปนี้
- คอ: หัน ก้ม หรือเงยคอไม่ได้ มีอาการปวดศรีษะและปวดคอ
- หัวไหล่: เคลื่อนไหวไหล่ได้จำกัด
- สะโพก: เดินได้ลำบากเนื่องจากอาการสะโพกอักเสบ
- ข้อต่อกระดูกอ่อนของกล่องเสียง: บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อต่อกระดูกอ่อนของกล่องเสียงใกล้หลอดลมทําให้หายใจลําบากและเสียงแหบ
นอกจากปัญหาข้อต่อแล้ว โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เนื่องจากการอักเสบหรือผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษา
- มวลกระดูกลดลง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- โรคผิวหนัง เช่น ปุ่มรูมาตอยด์ โดยเฉพาะในบริเวณใต้แขน ข้อศอก ท้ายทอย ฐานกระดูกสันหลัง เอ็นร้อยหวาย และเอ็นบริเวณมือ
- ดวงตาอักเสบและปัญหาด้านการมองเห็น
- หายใจถี่ ไอแห้ง เนื่องจากภาวะปอดอักเสบ
- โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- โรคหลอดเลือดอักเสบ
- กลุ่มอาการโจเกร็น (Sjogren’s syndrome)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดสมองและหัวใจวาย
- ความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งผิวหนัง
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จำเป็นต้องอาศัยการตรวจและทดสอบหลาย ๆอย่างร่วมกัน จึงจะสามารถวินิจฉัยโรคได้
- การซักประวัติทางการแพทย์
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจเลือด
- การตรวจวินิฉัยด้วยภาพถ่าย
- การสังเกตอาการ
ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์หากมีอาการและผลการตรวจ ดังต่อไปนี้
- ข้อต่ออักเสบตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไปและมีอาการของโรคนาน 6 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น
- มีตัวบ่งชี้อาการอักเสบ อันได้แก่ erythrocyte sedimentation rate (ESR) และ C-reactive protein (CRP) ในระดับที่สูง
- มี Rheumatoid factor(RF) และ anti-citrullinated peptide/protein antibodies (ACPAs)