การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทําให้เกิดการอักเสบในข้อต่อซึ่งนําไปสู่อาการปวดข้อและข้อยึดตึง โดยการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์นั้นให้ความสำคัญกับการควบคุมการอักเสบเพื่อลดความเสียหายของและเพิ่มความสามารถในการทํางานข้อต่อ รวมทั้งรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
แผนการรักษาที่เหมาะสม จะพิจารณาจากโรคประจำตัวที่มีอยู่ก่อนของแต่ละคน ความรุนแรงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การตอบสนองต่อการรักษา และผลข้างเคียงจากยา โดยแผนการรักษาอาจรวมไปถึงการใช้ยา การบำบัดแบบไม่ใช้ยา และการผ่าตัด
การใช้ยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ส่วนใหญ่จําเป็นต้องใช้ยาเพื่อควบคุมหรือลดการอักเสบ เนื่องจากอาการอักเสบเรื้อรังจะทําให้ข้อต่อเริ่มถูกทำลายภายในสองปีแรก โดยการอักเสบมักจะหนักที่สุดในช่วงนี้
ชนิดของยาเพื่อควบคุมอาการโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ยาแก้ปวด กลุ่มยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่กลุ่ม NSAIDs (non-NSAIDs) และ ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAIDs)
- ยาแก้อักเสบ สเตียรอยด์มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบสูง มีทั้งในรูปแบบยาเม็ด ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และให้ทางหลอดเลือดดำ
- ยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรครูมาตอยด์ (Disease-modifying antirheumatic drugs: DMARDs)
- ยารักษาโรครูมาตอยด์ (Conventional DMARDs) เช่น ยา methotrexate ยา hydroxychloroquine ยา sulfasalazine ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่ก่อนปีพ.ศ. 2541
- กลุ่มยาชีววัตถุ (Biological DMARDs) ผลิตโดยเทคโนโลยีชีวภาพพันธุวิศวกรรม เช่น ยา etanercept ยา adalimumab ยาabatacept และยา tocilizumab ซึ่งให้ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเริ่มใช้หลังปีพ.ศ. 2541
- ยาสังเคราะห์มุ่งเป้า (Targeted Synthetic DMARDs) เช่น ยา tofacitinib ในรูปแบบยาเม็ด
การบําบัดแบบไม่ใช้ยา
การบําบัดที่ไม่ใช้ยามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความมั่นใจและคุณค่าของตัวเอง ช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์รู้สึกว่าสามารถควบคุมอาการเจ็บป่วยได้บ้างและสามารถจัดการกับภาวะซึมเศร้าและข้อจํากัดในการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ โดยการบำบัดประเภทนี้ประกอบไปด้วย
- การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรครูมาตอยด์
ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถช่วยให้ผู้ป่วยคาดการณ์และรับมือกับปัญหาทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้น โดยแพทย์และผู้ป่วยสามารถช่วยกันออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่ผู้ป่วยพึงทำเพื่อให้รู้สึกว่ายังพึ่งพาตนเองได้ - การออกกำลังกาย
การออกแบบโปรแกรมการออกกําลังกายเฉพาะบุคคล อันรวมไปถึงการออกกำลังกายเพิ่มความคล่องตัว การออกกำลังกายด้วยแรงต้าน และการออกกําลังกายแบบแอโรบิคช่วยเพิ่มความสามารถในการทํางานของข้อต่อและร่างกาย และป้องกันความเจ็บปวดและอาการข้อยึดติดที่เกิดจากโรคได้ การออกกําลังกายช่วยให้ช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อกลับมาดีขึ้น เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยปรับอารมณ์และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง - การฝึกควบคุมการทำงานของร่างกาย (Biofeedback)
- การบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy)
- การทำกายภาพหรือกิจกรรมบำบัด
การบำบัดนี้ช่วยรักษาและคงสภาพโครงสร้างและการทํางานของข้อต่อ โดยแพทย์จะออกแบบการบําบัดแบบเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ป่วย เช่น- การฝึกการทรงตัวเพื่อป้องกันการหกล้ม
- การฝึกการทํางานของร่างกายและการปรับเปลี่ยนกิจกรรม
- การใส่เฝือกหรือเครื่องพยุงร่างกายเพื่อช่วยให้สามารถทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เดินหรือใช้มือหมุนเปิดขวดได้
- การผ่าตัด
โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่จําเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่ข้อเสียหายถึงระดับสุดท้ายแต่ยังมีอาการปวดหรือไม่สามารถใช้งานได้ทั้งที่ไม่อยู่ในช่วงที่มีการอักเสบรุนแรง การผ่าตัดข้อต่อหรือการเปลี่ยนข้อก็เป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อ ป้องกันไม่ให้ข้อต่อได้รับความเสียหายไปมากกว่าที่เป็นอยู่และเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทํางานของข้อต่อ
การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับผลข้างเคียงและประสิทธิภาพในการยับยั้งความเสียหายของข้อต่อ จึงแนะนําให้เลือกทำการรักษาที่สามารถควบคุมความเสียหายของข้อต่อได้ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลรักษาในระยะยาว จึงเป็นเรื่องสําคัญที่ผู้ป่วยจะต้องพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลและตรวจสอบผลข้างเคียงของการรักษาอยู่เสมอ