12 ความเชื่อ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน เรื่องไหนจริง อ่านคำตอบจากแพทย์ทางเดินอาหาร
โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร เป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในวัยทำงานที่มีโอกาสเจอกับปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวสูง ทั้งความเครียดจากการทำงาน การทำงานเลิกดึก ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการพักผ่อนน้อย และทำให้รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา และออกกำลังกายน้อย ในโลกโซเชียลมีข้อมูลมากมายถูกพูดถึง อีกทั้งความเชื่อแปลก ๆ ที่บอกต่อกันมา บางอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ แต่บางอย่างก็น่าสงสัย จนเกิดข้อถกเถียงกันไม่จบ วันนี้จะไม่ต้องคาใจอีกต่อไปเพราะแพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ จะมาคลายข้อสงสัยให้เคลียร์ ๆ มาดูไปพร้อม ๆ กันเลย!
1. กินเผ็ด ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหาร จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง เพราะสารที่ทำให้รู้สึกเผ็ดในพริกอย่าง Capsaicin ที่ทำให้เรารู้สึกแสบร้อนเวลาเคี้ยว แม้จะสามารถก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเฉพาะที่ได้ แต่ไม่ได้มีผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้เกิดเป็นหลุมแผล ให้นึกถึงเวลาที่เรารู้สึกแสบร้อนที่ปากจากการเคี้ยวพริก นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า อาการระคายเคือง เมื่อพริกลงไปในกระเพาะอาหารก็อาจรู้สึกแสบร้อนในท้องเนื่องมาจากการระคายเคืองเช่นกัน แต่ไม่ได้มีแผลที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด
2. อาหารรสเปรี้ยวจัด หวานจัด ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง ด้วยเหตุผลเดียวกันกับการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด เพราะอาหารรสเปรี้ยวจัดนั้น อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารแต่อย่างใดเช่นกัน ส่วนอาหารรสหวานจัดนั้น อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้บ้าง ซึ่งจะส่งผลให้อาการของคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคกรดไหลย้อนอยู่แล้ว มีอาการที่แย่ลงได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
3. กินข้าวไม่ตรงเวลา ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร จริงหรือไม่?
คำตอบคือ มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคจริง เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กระเพาะอาหารของคนเราจะมีการหลั่งกรดออกมาเป็นเวลา หากถึงเวลาของมื้ออาหารแล้ว แต่เรายังไม่ได้รับประทานอะไรเข้าไป ไม่มีอาหารลงถึงท้อง ภายในกระเพาะอาหารของเราก็จะมีปริมาณของกรดที่มากเกินไป ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นอาการของโรคกระเพาะอาหาร รวมถึงกรดไหลย้อนได้ นอกจากนี้ การกินข้าวไม่ตรงเวลา เป็นพฤติกรรมที่สร้างความเครียดให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว ทำให้กระตุ้นอาการของโรคมากขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญ มีงานวิจัยพบว่า คนที่กินข้าวไม่ตรงเวลา จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรีย H.Pylori ได้ง่ายกว่าคนที่กินข้าวเป็นเวลา ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้เป็นศัตรูตัวร้ายของกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
4. ถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อน ห้ามออกกำลังกายหลังกินข้าว จริงหรือไม่?
คำตอบคือ เป็นจริงได้ ในกรณีที่เป็นการออกกำลังกายที่ใช้แรงเยอะ เช่น เวทเทรนนิ่ง ที่จะเพิ่มความดันในช่องท้อง อาจทำให้อาเจียน และทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนแย่ลงได้
5. ความเครียดทำให้เป็นโรคกระเพาะ หรือที่เรียกว่าเครียดลงกระเพาะ จริงหรือไม่?
คำตอบคือ จริง ร่างกายของเรานั้น มักจะสะสมความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่หลับ หรือการต้องออกไปเบียดเสียดกับผู้คน การเจอกับรถติด เป็นต้น และความเครียดเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร เนื่องจากเมื่อร่างกายมีความเครียดสะสมสูง จะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกายถูกกระตุ้น ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารถูกหลั่งออกมามากกว่าปกติ เป็นเหตุให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้
6. กินอาหารรสจืด ช่วยรักษากรดไหลย้อน จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง การรับประทานอาหารรสจืดนั้น ไม่ได้มีส่วนช่วยในการรักษาแต่อย่างใด การที่แพทย์ทางเดินอาหารและตับมักจะห้ามไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารประเภท เครื่องดื่มคาเฟอีน น้ำอัดลม อาหารรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด นั่นเป็นเพราะอาหารกลุ่มดังกล่าว จะไปกระตุ้นอาการของกรดไหลย้อน และก่อความระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ในทางกลับกันไม่สามารถสรุปว่าเป็นจริง
7. ยาสมุนไพรที่ช่วยขับลม กินแล้วช่วยลดอาการกรดไหลย้อนได้ จริงหรือไม่?
คำตอบคือ จริง แต่เป็นบางชนิดเท่านั้น เช่น ขมิ้นชัน เพราะมีการศึกษาวิจัยแล้วว่า สาร Curcuminoid ที่อยู่ในขมิ้นชันนั้น มีฤทธิ์การลดอาการอักเสบในทางเดินอาหารได้จริง แต่ผู้บริโภคต้องเลือกซื้อจากแหล่งขายที่ได้มาตรฐาน ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปน มีการรับรองจาก อย. เพราะอาจเสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
8. โรคกรดไหลย้อน มีอาการผิดปกติแค่แสบร้อนยอดอก จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง แม้อาการผิดปกติหลักของโรคกรดไหลย้อนตามตำราแพทย์นั้น จะมี 2 อาการ ได้แก่ อาการแสบร้อนกลางหน้าอก และ เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีกรดอยู่ในคอ แต่จริง ๆ แล้วโรคกรดไหลย้อนนั้นยังส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากอาการที่พบได้ในระบบทางเดินอาหาร เช่น ไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปอดอักเสบ หรือแม้ต่ออาการแน่นหน้าอก ซึ่งเป็นอาการที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
9. ผักผลไม้ ที่มีความเป็นกรดสูง หรือมีรสจัด จะทำให้เป็นกรดไหลย้อน จริงหรือไม่?
คำตอบคือ จริง เพราะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด มะนาว องุ่น รวมถึงผักที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดลมในช่องท้องเยอะเช่น พริก กระเทียม หรือตระกูลสะระแหน่ กะเพรา ต่าง ๆ ต่างก็เป็นปัจจัยกระตุ้น ทำให้เกิดอาการของกรดไหลย้อน หรือทำให้ท้องอืดได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นแตกต่างกันไปตามร่างกายของแต่ละคน ดังนั้นเราต้องคอยสังเกตร่างกายของตัวเอง
10. ยาลดกรด สามารถกินเมื่อไรก็ได้ กินปริมาณเท่าไรก็ได้ จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง และไม่ควร ที่สำคัญยาลดกรดนั้น อาจเป็นคำเรียกชนิดของยาแบบเหมารวมจนอาจเกิดความเข้าใจผิด และทำให้เกิดการใช้งานผิดประเภท ซึ่งโดยตามความเป็นจริงแล้ว ยาลดกรดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่ ยาลดกรด ที่มีฤทธิ์ในการลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารจริง ๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ด กับยาบรรเทาอาการที่มักจะเป็นยาน้ำ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้ มีวิธี และปริมาณในการใช้งานที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นยาลดกรดแบบเม็ด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 ครั้ง ส่วนยาบรรเทาอาการนั้น แนะนำว่าไม่ควรรับประทานเกินวันละ 3-4 ครั้ง ที่สำคัญ หากรับประทานยาด้วยตัวเองไปสักระยะแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัย และทำการรักษาอย่างเหมาะสม
11. ท้องอืดให้เอาใบไม้เหน็บท้อง จะช่วยให้หายอืด จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง เป็นเพียงความเชื่อของคนสมัยโบราณ ไม่ได้มีส่วนช่วย หรือมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
12. การนอนเอาหัวไว้ที่สูง ช่วยลดอาการกรดไหลย้อน จริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จริง เพราะการเอาหมอนมาหนุนเพิ่มความสูงแค่บริเวณศีรษะนั้น ไม่ได้ช่วยให้อาการของกรดไหลย้อนดีขึ้นแต่อย่างใด การนอนให้สูงที่สามารถช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ หมายถึงการนอนให้ร่างกายตั้งแต่บริเวณลิ้นปี่ขึ้นไปนั้นอยู่สูง เนื่องจากจุดนั้นคือบริเวณหูรูดที่กั้นระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร การนอนให้ร่างกายช่วงบนทั้งหมดอยู่สูง จะช่วยลดโอกาสที่อาหารจะย้อนขึ้นมาจากกระเพาะได้
โรคทางระบบทางเดินอาหารและตับ ส่วนใหญ่แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจวินิจฉัยเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้น หากกำลังสงสัยว่าตนเป็นโรคกรดไหลย้อน หรือมีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร ขอแนะนำว่าควรมาปรึกษากับแพทย์ชำนาญการเฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย ทำการรักษา รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง ตามแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน