มลพิษในอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ทำลายสุขภาพอย่างไร
ปัจจุบัน มลพิษในอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยสูงมาก จนทำให้ประชาชนหวาดกลัว และส่งผลต่อสุขภาพ เกิดการเจ็บป่วยกันเป็นจำนวนไม่น้อย ในอินเทอร์เน็ตมีบทความมากมายเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิด PM2.5 แต่ไม่ค่อยมี (หรือหาได้ยากมาก) ที่บอกว่า PM2.5 ทำลายปอดอย่างไร
กลไกการกำจัดฝุ่น และเชื้อโรค ในร่างกาย
โดยเฉลี่ยแล้ว คนทั่วไปจะหายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายประมาณ 20,000 ลิตรต่อวัน (หนักประมาณ 20 กิโลกรัม) ซึ่งอากาศจำนวนนี้อาจจะมีฝุ่นละออง ก๊าซอันตราย เขม่า เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ไวรัสปะปนอยู่ และเข้าไปในหลอดลมและถุงลมด้วย
ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์เรานั้น มีกลไกช่วยกำจัดอนุภาคแปลกปลอมขนาดเล็กเหล่านี้อยู่ เมื่อฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่ลงไปในปอดส่วนต้น ร่างกายจะมีด่านแรกที่ช่วยป้องกัน มีลักษณะเป็นขนเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ซีเลีย (Cilia) ซึ่งเป็นโครงสร้างหนึ่งของเซลล์เยื่อบุของหลอดลมที่เรียกว่า Ciliated cells ขนซีเลียจะคอยเคลื่อนไหวพัดโบกหรือโยกให้แผ่นเมือก (Mucus layer) ที่มีเชื้อโรค ฝุ่นละอองติดอยู่ ให้เคลื่อนที่ขึ้นไปยังหลอดลมใหญ่ และไอออกมา หรือเข้าไปในปากและกลืนลงสู่กระเพาะอาหาร
PM2.5 มากเกินไป อันตรายต่อปอดและหัวใจ
ฝุ่นละอองที่เล็กกว่า 3-5 ไมครอนอาจจะสามารถรอดพ้นจากการกำจัดโดยขนซีเลีย เข้าไปถึงปอดส่วนลึกและเกิดอันตรายต่อปอด โดยทั่วไปฝุ่นเล็ก ๆ เหล่านี้จะถูกอัลวีโลลาร์แมคโครเฟจ (Alvelolar macrophages) ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนผิวของถุงลม เข้ามากินและฆ่า หากมีฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคมาก จะมีเม็ดเลือดขาวอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า นิวโตรฟิล (Neutrophils) ออกมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
เมื่อมีเชื้อโรคและฝุ่น PM2.5 มากเกินกว่าที่ร่างกายและปอดจะกำจัดได้ เชื้อโรคและฝุ่นละออง PM2.5 จะทำลายปอดทำให้เสียหายและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ เกิดการล้มเหลวของปอด และโยงไปถึงหัวใจ ทำให้เสียชีวิตได้ หรืออาจทำให้เกิดมะเร็งปอดและตายได้ การลดการสัมผัสกับ PM2.5 จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อสุขภาพ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ
ผลภัยของ PM2.5 ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ ประชาชนควรลุกขึ้นมาร่วมมือกัน ต่อสู้และควบคุมปริมาณของ PM2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้ต่าง ๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อส่งผลต่อสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยมากขึ้น
Reference: Defense Mechanisms of the Respiratory System by Rebecca Dezube, MD, MHS, Johns Hopkins University