การทําเด็กหลอดแก้วหรือ IVF คืออะไร
การทําเด็กหลอดแก้วหรือ IVF เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology: ART) ประเภทหนึ่ง ซึ่งจะนำสเปิร์มและไข่ออกมาทำการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการ ตามด้วยการฝังตัวอ่อนเพื่อการตั้งครรภ์ การทําเด็กหลอดแก้วหรือ IVF เป็นเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับผู้ที่มีบุตรยากที่มีปัญหา เช่น
- จํานวนอสุจิน้อยหรือไม่มีคุณภาพ
- ท่อนําไข่อุดตันหรือเสียหาย
- ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ
- เนื้องอกในมดลูก
- ความเสี่ยงต่อโรคหรือความผิดปกติทางพันธุกรรม
ขั้นตอนการทําเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF
การทําเด็กหลอดแก้วเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ตั้งแต่การเตรียมตัว การเก็บไข่จนถึงการตั้งครรภ์ ผู้ที่มีบุตรยากราว 5% ได้ลองวิธีการทําเด็กหลอดแก้ว และตั้งแต่ปีพ.ศ. 2521 มีทารกที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้วกว่า 8 ล้านคน
ก่อนเริ่มการทําเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF
ผู้เข้ารับบริการจะได้พูดคุยปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการทําเด็กหลอดแก้ว พร้อมตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และได้รับการตรวจประเมินภาวะมีบุตรยาก ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์จากประวัติของแต่ละคู่
- การตรวจภายใน การตรวจ Pap smear และการตรวจแมมโมแกรม (ในรายที่อายุมากกว่า 40 ปี)
- การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำอสุจิ
- การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคติดเชื้ออื่น ๆ
- การตรวจเลือดและปัสสาวะ
- การตรวจคัดกรองพาหะทางพันธุกรรม
- การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกหรือการฉีดน้ำเกลือเพื่อตรวจโพรงมดลูกด้วยเครื่องอัลตราซาวด์
จากนั้นผู้เข้ารับบริการจะต้องลงนามในแบบฟอร์มให้ความยินยอมเข้ารับการรักษา เริ่มรับประทานกรดโฟลิก และเรียนรู้วิธีการฉีดยาฮอร์โมน
ระหว่างการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF
- การกระตุ้นและตรวจสอบรังไข่
แพทย์จะจ่ายยาฮอร์โมนแบบฉีด เช่น ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่ (FSH) เพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกพร้อมกัน พร้อมสำหรับการเก็บไข่ โดยชนิด ปริมาณ และความถี่ของการฉีดฮอร์โมนนั้นขึ้นอยู่กับอายุ ประวัติทางการแพทย์ ระดับฮอร์โมน AMH ที่ผลิตจากรังไข่ และการตอบสนองของร่างกายต่อการกระตุ้นรังไข่
โดยจะมีการตรวจอัลตราซาวด์และ/หรือการตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดทุก 2-3 วันในช่วง 2 สัปดาห์แรก แพทย์จะตรวจมดลูกและรังไข่ พร้อมทั้งวัดขนาดของถุงรังไข่ โดยถุงรังไข่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 14 มิลลิเมตรมักจะบรรจุไข่ที่สุกพร้อมสำหรับการปฏิสนธิ สุดท้ายแพทย์จะทำการฉีดยากระตุ้นให้ไข่มีการเจริญเติบโตจนสมบูรณ์ประมาณ 36 ชั่วโมงก่อนการเก็บไข่
ในระหว่างที่ทำการกระตุ้นรังไข่ อาจรู้สึกร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง รังไข่โต และมีรอยฟกช้ำจากการฉีดฮอร์โมน - การเก็บไข่
แพทย์จะให้ยาระงับความรู้สึกแบบอ่อน ๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายตัวที่อาจเกิดขึ้นขณะการเก็บไข่ โดยขั้นตอนการเก็บไข่นั้น แพทย์จะทำการสอดเข็มผ่านช่องคลอดเข้าไปยังรังไข่เพื่อเก็บไข่ที่สุกออกมาจากถุงรังไข่ โดยไข่ที่เก็บออกมานั้นจะถูกเก็บไว้ในจานบรรจุสารละลายเฉพาะและเก็บไว้ในตู้ที่มีการควบคุมสภาวะให้เหมาะสม - การปฏิสนธิ
การฉีดสเปิร์มเข้าไปในไซโตพลาสซึมของเซลล์ไข่ (ICSI) จะดําเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน โดยปกติแล้วประมาณ 70% ของไข่ที่สุกแล้วจะปฏิสนธิ หากมีไข่ที่สุกเป็นจำนวนมากและยังไม่อยากทำการปฏิสนธิไข่ทั้งหมดก็สามารถทำการแช่แข็งเก็บไข่ไว้ได้ - การเจริญเติบโตของตัวอ่อน
นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจะติดตามการพัฒนาของตัวอ่อน โดยตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วประมาณ 50% จะพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ได้สําเร็จ หากมีตัวอ่อนเป็นจํานวนมาก แพทย์อาจแนะนําให้แช่แข็งตัวอ่อนเพื่อเก็บตัวอ่อนไว้สำหรับอนาคต อย่างไรก็ตามตัวอ่อนที่แช่แข็งบางตัวอาจไม่มีชีวิตรอดระหว่างกระบวนการแช่แข็งและการละลายตัวอ่อน - การย้ายตัวอ่อน
ก่อนการย้ายตัวอ่อนผู้เข้ารับบริการจะต้องรับประทานยาฮอร์โมนเป็นเวลา 14-21 วันเพื่อเตรียมความพร้อมของมดลูกสําหรับการฝังตัวอ่อน ฮอร์โมนนั้นได้แก่ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งจะทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้นและเพิ่มความสำเร็จของการฝังตัวอ่อนและการตั้งครรภ์ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เข้ารับบริการจะต้องรับประทานฮอร์โมนตลอดการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
ขั้นตอนการย้ายตัวอ่อนคล้ายกับการตรวจภายใน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็เสร็จ ไม่จําเป็นต้องดมยาสลบ โดยตัวอ่อนจะถูกวางเข้าไปในโพรงมดลูกผ่านทางสายสวน
การย้ายตัวอ่อนมี 2 ประเภทด้วยกัน
-
- การย้ายตัวอ่อนรอบสด แพทย์จะทำการใส่ตัวอ่อนสดเข้าไปในโพรงมดลูก 3-7 วันหลังจากการเก็บไข่
- การย้ายตัวอ่อนแช่แข็ง นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจะละลายตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งจากการทําเด็กหลอดแก้วครั้งก่อนและให้แพทย์ใส่ตัวอ่อนเข้าไปในมดลูก วิธีนี้เป็นที่นิยมมากกว่าและอัตราการคลอดมีชีพสูงกว่า การย้ายตัวอ่อนแช่แข็งสามารถทำได้แม้จะทำการเก็บไข่และปฏิสนธิมานานหลายปีแล้วก็ตาม
หากเคยทําเด็กหลอดแก้วหลายครั้งแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อาจมีการใช้เทคโนโลยีการช่วยฟักตัวของตัวอ่อน (Assisted Hatching) โดยจะทำการเจาะรูที่เปลือกหุ้มตัวอ่อนก่อนที่จะย้ายตัวอ่อนเข้าไปในมดลูก ซึ่งจะช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวในผนังมดลูกได้สำเร็จมากขึ้น
หลังการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF
หลังย้ายตัวอ่อนเสร็จแล้ว ผู้เข้ารับการรักษาสามารถกลับไปทํากิจวัตรประจําวันได้ตามปกติ โดยระหว่างนั้นอาจมีอาการ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด ปวดเกร็งท้องเล็กน้อย ท้องอืด คัดเต้านม และท้องผูก แพทย์จะนัดตรวจการตั้งครรภ์ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากการย้ายตัวอ่อน
ความเสี่ยงของการทําเด็กหลอดแก้ว
- ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการเก็บไข่ เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และความเสียหายต่ออวัยวะสืบพันธุ์ ลําไส้ และกระเพาะปัสสาวะ
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- การตั้งครรภ์แฝด
- การคลอดก่อนกําหนด
- ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป
- ความผิดปกติโดยกำเนิดอาจสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากการตั้งครรภ์ล่าช้าหรือสาเหตุพื้นเดิมอื่น ๆ ที่ทำให้มีบุตรยาก
การตั้งครรภ์เด็กหลอดแก้วไม่มีความเสี่ยงสูงเว้นแต่ผู้เข้ารับการรักษามีปัญหาด้านสุขภาพอยู่ก่อน เช่น ความดันโลหิตสูงหรือฝ่ายหญิงอายุมาก
การทําเด็กหลอดแก้วนั้นอาจพบปัญหาได้ในทุกขั้นตอนเนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น
- การตกไข่ก่อนเวลา
- เก็บไข่แล้วไม่ได้ไข่
- ไข่ไม่สุก
- ไม่มีการปฏิสนธิ
- คุณภาพของตัวอสุจิ
- ตัวอ่อนหยุดการเจริญเติบโต
- ตัวอ่อนฝังตัวในเยื่อบุมดลูกไม่สำเร็จ
- ปัญหาด้านการเก็บไข่หรือการย้ายตัวอ่อน
ปัจจัยที่ช่วยให้การทําเด็กหลอดแก้วประสบความสำเร็จ ได้แก่ อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก สุขภาพ สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก และจํานวนรอบที่ทําเด็กหลอดแก้ว แพทย์จะทำการประเมินขั้นตอนการรักษาและสภาพร่างกายของผู้เข้ารับบริการและกําหนดวิธีการที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความสําเร็จของการตั้งครรภ์ หากการทําเด็กหลอดแก้วไม่ประสบผลสำเร็จ ควรพักร่างกายและจิตใจสักประมาณ 4-6 สัปดาห์จึงกลับเข้ามารับการรักษาอีกครั้ง
การทําเด็กหลอดแก้วอาจทำให้เหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความพยายามที่จะมีบุตรอาจทำให้รู้สึกหนักใจ วิตกกังวล ควรพูดคุยกับแพทย์ถึงสิ่งที่อยู่ในใจเพื่อหาทางแก้ไขไปด้วยกัน
อัตราความสําเร็จของการทําเด็กหลอดแก้ว
อายุของแม่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับอัตราความสําเร็จของการตั้งครรภ์และการคลอดมีชีพของเด็กหลอดแก้ว
- แม่อายุน้อยกว่า 35 ปี จะมีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 46.7%
- แม่อายุ 35 ถึง 37 ปี จะมีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 34.2%
- แม่อายุ 38 ถึง 40 ปี จะมีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 21.6%
- แม่อายุ 41 ถึง 42 จะมีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 10.6%
- แม่อายุ 43 ปีขึ้นไป จะมีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 3.2%
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากกําลังทำเด็กหลอดแก้วแล้วมีอาการดังต่อไปนี้
- มีเลือดออกมากทางช่องคลอด
- มีเลือดปนในปัสสาวะ
- มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส
- ปวดท้องน้อย
- ตกขาวผิดปกติ
วีดีโอเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก
EP.1 การทำเด็กหลอดแก้ว
EP.2 Embryoscope เทคโนโลยีช่วยติดตามพัฒนาการของตัวอ่อน
EP.3 ERA Test เตรียมผนังมดลูกให้พร้อม เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้
EP.4 การย้ายตัวอ่อนรอบแช่แข็ง Frozen Embryo Transfer
EP.5 การส่องกล้องโพรงมดลูก Hysteroscopy
EP.6 เทคนิคการคัดเลือกอสุจิ เพื่อนำไปใช้ทำ ICSI
หลากหลายครอบครัวที่สำเร็จ เริ่มต้นจากการพูดคุย